ชัยชนะที่เหมือนแพ้ของโมดี สะท้อนจุดเปลี่ยนการเมืองอินเดีย
และแล้วการเลือกตั้งทั่วไปของอินเดีย ซึ่งถือเป็นการเลือกตั้งครั้งใหญ่ที่สุดในโลกที่ดำเนินมานานถึง 7 สัปดาห์และมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากถึงเกือบ 970 ล้านคน ก็ได้เสร็จสิ้นลงไปด้วยชัยชนะของ นายนเรนทรา โมดี ที่จะดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีอินเดียต่อเป็นสมัยที่ 3 หลังดำรงตำแหน่งดังกล่าวมานานถึง 10 ปี
เมื่อดูผิวเผินอาจเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับโมดีที่ทำสถิติเป็นนายกรัฐมนตรีอินเดียเพียงคนที่ 2 ที่ดำรงตำแหน่งได้นานถึง 3 สมัย แต่ในความดีใจนั้นก็แฝงมาด้วยความกังวลเพราะ พรรคภาราติยะชนตะ (บีเจพี) ของเขาสูญเสียเสียงข้างมากอย่างสิ้นเชิงเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่โมดีขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของแดนภารตะ ผลการเลือกตั้งของอินเดียครั้งนี้เป็นอย่างไร หรือนี่จะเปรียบเหมือนโดมิโนตัวแรกที่ล้มในกระดานสำหรับรัฐบาลอินเดียภายใต้การนำของโมดี?
นายโมดี วัย 73 ปี ก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอินเดียครั้งแรกในปี 2014 ด้วยคำมั่นว่าจะเข้ามาพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และวางตัวเป็นคนจากวงนอกที่จะเข้ามากำจัดปัญหาคอรัปชั่นให้หมดไป แต่โมดีกลับทำได้มากกว่านั้น เพราะเขาได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงการเมืองอินเดียไปจากเดิม โดยนำกระแสชาตินิยมฮินดูกลับมา และพลิกฟื้นให้อินเดียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเติบโตรวดเร็วที่สุดในโลกจนกลายเป็นชาติมหาอำนาจแห่งใหม่
ในการเลือกตั้งครั้งก่อนๆ พรรคบีเจพีของโมดีสามารถคว้าเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดในปี 2019 พรรคบีเจพีได้ทำสถิติกวาดที่นั่งในสภาล่างไปได้มากถึง 303 ที่นั่ง จนฝ่ายค้านและนักวิจารณ์ของโมดีมองว่าอินเดียกำลังกลายเป็นประเทศที่มีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว
ในการเลือกตั้งครั้งนี้ โมดีจึงหมายมั่นปั้นมือว่า พรรคบีเจพีของเขาจะกวาดที่นั่งในการเลือกตั้งครั้งนี้ไปได้มากกว่า 370 ที่นั่ง และ พันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติ (เอ็นดีเอ) ที่เป็นการรวมตัวของบีเจพีและพรรคแนวร่วมของเขาจะสามารถกวาดที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรไปได้ถึง 400 ที่นั่ง จากทั้งหมด 543 ที่นั่ง
พรรคบีเจพีได้ออกแคมเปญหาเสียงที่ชื่อ “Modi’s guarantees” โดยหยิบยกความสำเร็จด้านการบริหารเศรษฐกิจและสวัสดิการทางสังคม ตั้งเป้าจะทำให้อินเดียเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดจากอันดับ 5 ขึ้นเป็นอันดับ 3 ของโลก และจะทำให้อินเดียกลายเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายในปี 2047 หรือ 100 ปีหลังได้รับเอกราชจากอังกฤษ
หลายคนคาดว่าพรรคของโมดีจะชนะการเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์อย่างแน่นอน แต่เมื่อผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการของคณะกรรมการการเลือกตั้งอินเดียเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน กลับทำให้โมดีต้องประหลาดใจ เพราะพรรคบีเจพีของเขาได้ที่นั่งในสภาล่างไปเพียง 240 ที่นั่ง ลดลงจากการเลือกตั้งครั้งที่แล้วถึง 63 ที่นั่ง และไม่พอที่จะคว้าเสียงข้างมากในสภาได้มากกว่า 272 ที่นั่งตามที่กำหนด แม้ว่าแนวร่วมเอ็นดีเอของเขาจะได้ที่นั่งรวมกัน 294 ที่นั่ง แต่ก็หมายความว่านี่เป็นครั้งแรกที่โมดีต้องใช้คะแนนเสียงของพรรคแนวร่วมในการคว้าเสียงข้างมากในสภา
ปรากฎการณ์ดังกล่าวทำให้มีการคาดการณ์ว่าโมดีจะต้องปรับแนวทางการบริหารประเทศของตนเอง จากเดิมที่มักตัดสินใจครั้งใหญ่อย่างฉับไว เพราะไม่ต้องง้อพรรคแนวร่วมในการผลักดันนโยบายต่างๆ และมีการรวมอำนาจไว้ในมือของนายกรัฐมนตรี แต่ครานี้คงต้องหันมาทำงานร่วมกับพรรคแนวร่วมมากขึ้น เพราะพรรคเล็กๆ เหล่านี้จะเป็นคนชี้ชะตารัฐบาลอินเดียในการดำรงตำแหน่งของโมดีในสมัยที่ 3 และล่าสุด พรรคต่างๆ ในแนวร่วมเอ็นดีเอได้ออกมาเรียกร้องของบประมาณเพิ่มขึ้นให้แก่รัฐภูมิภาคของตนเอง และขอตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีเพื่อจัดตั้งรัฐบาลผสมอีกด้วย
มิลาน ไวชาฟ ผู้อำนวยการโครงการเอเชียใต้จากสถาบันคลังสมอง Carnegie Endowment for International Peace ในกรุงวอชิงตันดีซี ประเทศสหรัฐ ให้ความเห็นว่า การที่บีเจพีมีผลการเลือกตั้งไม่ดีอย่างที่คาดการณ์เหมือนเป็นการตบหน้าโมดี เพราะจำนวนที่นั่งที่บีเจพีคาดว่าจะได้กับความเป็นจริงทำให้บีเจพีรู้สึกเหมือนเป็นผู้แพ้ แม้จะเป็นพรรคที่ได้ที่นั่งในสภาไปมากที่สุดก็ตาม
หนึ่งในปัจจัยที่อาจทำให้ผลการเลือกตั้งของโมดีไม่เป็นไปตามคาดคือเรื่องเศรษฐกิจที่แม้จะมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่อินเดียมีอัตราการว่างงานสูงในหมู่คนวัยหนุ่มสาว และความไม่เท่าเทียมกันทางสังคมที่มากขึ้น ชี้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่โมดีกลับแทบไม่เคยพูดระหว่างหาเสียงเลยว่าจะแก้ปัญหาเรื่องเหล่านี้อย่างไร อีกปัจจัยคือนโยบายที่เน้นชาวฮินดูเป็นหลักของโมดีที่สร้างรอยร้าวในสังคมอินเดีย และสร้างความกังวลแก่ชาวมุสลิมในอินเดียที่มีอยู่เพียง 14% ของประชากรแต่มีจำนวนมากถึง 200 ล้านคน
นอกจากโมดีจะต้องปาดเหงื่อกับเรื่องเก้าอี้ในสภาที่ลดลงแล้ว เขายังต้องกังวลกับจำนวนเก้าอี้ของบรรดาฝ่ายค้านที่มากขึ้นกว่าการเลือกตั้งครั้งที่แล้วอีกด้วย กลุ่ม Indian National Development Inclusive Alliance หรือเรียกสั้นๆ ว่า INDIA ที่นำโดยพรรคคองเกรสแห่งชาติอินเดียของนายราหุล คานธี ทายาทรุ่นที่ 4 ของตระกูลนักการเมือง เนห์รู-คานธี ของอินเดีย ที่สามารถคว้าที่นั่งในสภาล่างไปได้ 232 ที่นั่ง
นายราชีด คิดไว ผู้สื่อข่าวและนักวิเคราะห์การเมืองกล่าวว่า ฝ่ายค้านได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าพวกเขามีความยืดหยุ่นมากและแสดงถึงความกล้าหาญ พวกเขาได้กอบกู้ประชาธิปไตยของอินเดียในหลายๆ ด้าน และแสดงให้เห็นว่าพวกเขากลายเป็นคู่แข่งของโมดีขึ้นมาได้ ทำลายภาพลักษณ์ของโมดีที่ไร้เทียมทานเมื่อยามลงสนามเลือกตั้ง และในเมื่อเก้าอี้ในสภามากขึ้น แนวร่วม INDIA จะมีอำนาจมากขึ้นในการสร้างแรงกดดันและคัดค้านนโยบายของพรรคร่วมรัฐบาลในสภา
หากศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองของโลกจะพบว่า ผู้นำประเทศหลายคนมักประสบปัญหาในการเลือกตั้งหรือการดำรงตำแหน่งผู้นำในสมัยที่ 3 เสมอ ชัยชนะที่เหมือนความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ของโมดีนี้ อาจทำให้เส้นทางการดำรงตำแหน่งในสมัยที่ 3 ของโมดี ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่เขาคาดหวังแน่นอน
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 10 มิถุนายน 2567