"อียู" เตรียมประกาศมาตรการขึ้นภาษีรถยนต์อีวีจีนในสัปดาห์นี้ คาดอาจเพิ่มแตะระดับสูงสุด 50% จากปัจจุบันที่ 10% นักวิเคราะห์คาดจีนไม่กระทบมาก เพราะเข้าไปเปิดโรงงานในยุโรปรอรับแล้ว

 

สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป (อียู) เตรียมจะประกาศขึ้นภาษีรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) นำเข้าจากจีนภายในสัปดาห์นี้ ตามหลังสหรัฐที่ประกาศขึ้นภาษีรถยนต์อีวีจีนไปเมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมาถึง 102.5% จากเดิม 27.5%

 

สำหรับแนวโน้มของอียูซึ่งเผชิญการทะลักของรถยนต์นำเข้าจากจีนมากกว่านั้น เป็นที่คาดว่าจะมีการขึ้นภาษีอย่างแน่นอน โดยทีมนักวิเคราะห์ของธนาคารซิตี้กรุ๊ปประเมินว่าอัตราใหม่น่าจะอยู่ที่ระหว่าง 25-30% จากอัตราปัจจุบันที่ 10%

 

ทว่าทีมวิเคราะห์ของซีเอ็นบีซีประเมินว่ามีความเป็นไปได้ที่อัตราภาษีใหม่อาจเพิ่มขึ้นไปถึง 30 - 50% โดยคาดว่าหากประกาศแล้วจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 ก.ค. เป็นต้นไป 

 

แอนโทนี ซัซซีน นักกลยุทธ์การลงทุนอาวุโสจากบริษัทเครนแชร์ กล่าวว่า เดิมทีประเมินว่าภาษีใหม่จะอยู่แค่ระหว่าง 10-20% แต่หลังจบการเลือกตั้งรัฐสภายุโรปที่ฝ่ายแข็งกร้าวกับจีนได้ชัยชนะมากขึ้นจึงเชื่อว่าภาษีใหม่จะสูงกว่า 20% แน่นอน  

 

อย่างไรก็ดี นักกลยุทธ์รายนี้มองว่าบรรดาค่ายรถยนต์จีนได้เตรียมทางหนีทีไล่ด้วยการเข้ามาตั้งโรงงานผลิตในแถบยุโรปมากขึ้นแล้ว ซึ่งถือเป็นตัวช่วยสำคัญที่ช่วยบรรเทาผลกระทบจากภาษีให้บริษัทรถยนต์จีนได้ และเชื่อว่ารถยนต์จีนจะยังสามารถแข่งขันด้านราคาได้เหนือกว่ายุโรป

 

ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการยุโรปเริ่มเปิดการสอบการอุดหนุนบริษัทรถยนต์จีนตั้งแต่เดือน ต.ค. 2566 โดยกล่าวหาว่าบรรดาบริษัทรถยนต์จีนได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาลปักกิ่ง ทำให้การแข่งขันกับอุตสาหกรรมรถยนต์ยุโรปไม่เป็นธรรม 

 

นอกจากสหรัฐที่ขึ้นภาษีรถยนต์อีวีจีนแล้ว "ตุรกี" ยังเป็นประเทศล่าสุดที่เพิ่งประกาศเมื่อวันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมาว่า จะปรับขึ้นภาษีรถอีวีจากจีนเพิ่ม 40% 

 

ทั้งนี้ เมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา บรรดาค่ายรถยนต์ไฟฟ้าหลายแบรนด์ของจีนซึ่งถึงรวมถึง "เอ็กซ์เผิง" (Xpeng) และ "บีวายดี" (BYD) ต่างเดินหน้าออกรถรุ่นใหม่ในยุโรป โดยบีวายดีนั้นเคยประกาศเมื่อปลายปีที่แล้วว่าจะสร้างงานผลิตแห่งใหม่ในประเทศฮังการีด้วย 

 

ในขณะที่ค่าย "นีโอ" (Nio) ได้เปิดโชว์รูมใหม่ขึ้นในกรุงอัมสเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์ และค่าย "เชอรี่" (Chery) เตรียมลงทุนร่วมกับบริษัทรถยนต์ในสเปนเพื่อพัฒนารถอีวีใหม่ร่วมกัน 

 

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ

วันที่ 12 มิถุนายน 2567