ประวัติ ปราโบโว ซูเบียนโต ว่าที่ ปธน.อินโดนีเซีย อดีตทหาร นักธุรกิจ สายเลือดผู้ดีอิเหนา
เป็นข้อเท็จจริงที่ว่า ในการเลือกตั้งของอินโดนีเซีย ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะพิจารณาที่ตัวบุคคลมากกว่า "นโยบาย" ดังนั้น ประวัติความเป็นมาของแต่ละคนจึงสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะประวัติครอบครัว เครือข่ายความสัมพันธ์ทางเครือญาติและทางสังคม ที่สำคัญมากกว่าประวัติการศึกษาและการทำงานเสียอีก
การเลือกตั้ง 14 กุมภาพันธ์ 2024 นี้ ผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการชี้ว่า ปราโบโว ซูเบียนโต (Prabowo Subianto) หัวหน้าพรรคเกอรินดรา (Gerindra) ผู้สมัครรับเลือกตั้งหมายเลข 2 ซึ่งมี กิบราน รากาบูมิง (Gibran Rakabuming) ลูกชายของโจโก วิโดโด (Joko Widodo) ลงชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี เป็น “ตัวเต็ง” ชนะเลือกตั้งแล้ว ด้วยคะแนนประมาณ 58% ของคะแนนทั้งหมด
“ประชาชาติธุรกิจ” ชวนทำความรู้จัก ปราโบโว ซูเบียนโต ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของอินโดนีเซีย
![](http://tvfa.or.th/webimages/20240215120801.png)
ปราโบโว ซูเบียนโต เกิดวันที่ 17 ตุลาคม 1951 เป็นอดีตนายทหาร และเป็นนักธุรกิจ ปัจจุบันเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในรัฐบาลโจโก วิโดโด (Joko Widodo)
ปราโบโว ซูเบียนโต เกิดในตระกูลชนชั้นสูงของอินโดนีเซีย ซึ่งสืบเชื้อสายชนชั้นสูงมาหลายเจเนอเรชั่น พ่อของเขา ซูมิโตร โจโยฮาดิกูซูโม (Sumitro Djojohadikusumo) เป็นนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังซึ่งต่อมาเข้าสู่การเมือง โดยเป็นรัฐมนตรีกระทรวงด้านเศรษฐกิจหลายกระทรวงในยุคสมัยรัฐบาลซูการ์โน (Sukarno)
ปู่ของเขา มาร์โกโน โจโยฮาดิกูซูโม (Margono Djojohadikusumo) มีคำนำหน้าชื่อ “ระเด่นมัส” (Raden Mas) ซึ่งเป็นคำเรียก “เจ้าชาย” ในภาษาชวา เป็นผู้ก่อตั้งธนาคารเนการา อินโดนีเซีย (Bank Negara Indonesia) ธนาคารของรัฐแห่งแรกของอินโดนีเซีย อีกทั้งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการตรวจสอบเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเป็นเอกราชของอินโดนีเซีย (Investigating Committee for Preparatory Work for Independence)
ถึงแม้จะเป็นชนชั้นสูง แต่มีข้อมูลว่า มาร์โกโน โจโยฮาดิกูซูโม เคยบอกว่าครอบครัวของเขา “เป็นชนชั้นสูงที่ยากจน”
ปราโบโว มีพี่สาว 2 คน และน้องชาย 1 คน น้องชายของเขา คือ ฮะชิม โจโยฮาดิกูซูโม (Hashim Djojohadikusumo) เป็นหนึ่งในนักธุรกิจที่ร่ำรวยที่สุดในอินโดนีเซีย
ในทศวรรษ 1960 ช่วงปลายยุคสมัยของประธานาธิบดีซูการ์โน พ่อของเขาแตกแยกกับซูการ์โน เป็นเหตุให้ถูกขับออกนอกประเทศ ปราโบโว และพี่น้องจึงเติบโตในต่างประเทศ ครอบครัวของเขาเคยพำนักทั้งในสิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย สวิตเซอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร
ระหว่างปี 1966-1968 ที่ครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ในลอนดอน ปราโบโวเข้าเรียนและสำเร็จการศึกษาจาก เดอะ อเมริกันสกูล อิน ลอนดอน (The American School in London)
เมื่อกลับประเทศ ซูเบียนโตเข้าเรียนโรงเรียนทหารตามรอย “อา” ซึ่งเป็นวีรบุรุษสงครามที่สิ้นชีพในการต่อสู้กับญี่ปุ่น ผู้เป็นที่มาของชื่อ “ปราโบโว” ที่บิดาของซูเบียนโตนำชื่อของน้องชายผู้ล่วงลับมาตั้งชื่อลูกชายตนเอง
ปราโบโว ซูเบียนโต สำเร็จการศึกษาด้านทหารจากสถาบันการทหารอินโดนีเซีย ในปี 1974 แล้วเข้ารับราชการทหารอยู่เป็นเวลา 24 ปี มีบทบาทสำคัญ ๆ มากมายทั้งในทางบวกและทางลบ
ในเดือนมีนาคม 1998 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการกองกำลังพิเศษ Kostrad ที่มีกำลังพล 27,000 ราย แต่เพียงสองเดือนหลังจากนั้น ผู้นำเผด็จการซูฮาร์โตถูกประท้วง จนต้องยอมลงจากตำแหน่ง และในเดือนสิงหาคมปีนั้น ปราโบโว ซูเบียนโต ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่ง ยุติอาชีพรับราชการทหาร จากนั้นเขาเดินทางออกไปพำนักอยู่นอกประเทศ และบทบาทหน้าที่ที่เขาทำในระหว่างเป็นทหาร ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน เป็นที่มาของการที่เขามีชื่อติดแบล็กลิสต์ที่สหรัฐอเมริกา
ชีวิตส่วนตัว ปราโบโว ซูเบียนโต แต่งงานกับ ติเตียก ซูฮาร์โต (Titiek Suharto) บุตรสาวของอดีตประธานาธิบดีซูฮาร์โต (Suharto) โดยแต่งงานกันในปี 1983 ขณะที่ซูฮาร์โตยังดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ทั้งคู่มีบุตรชายด้วยกันหนึ่งคน มีข้อมูลว่าทั้งคู่หย่าร้างกันในปี 1998 ในระหว่างวิกฤตการทางการเมืองในประเทศซึ่งซูฮาร์โตถูกขับไล่ออกจากตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม การหย่าร้างของทั้งคู่ก็ถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการหย่าร้างในทางนิตินัยเพื่อลดผลกระทบทางการเมืองเท่านั้น แต่ยังคงเป็นคู่ชีวิตกันในทางพฤตินัย
![](http://tvfa.or.th/webimages/20240215120805.png)
หลังยุติเส้นทางอาชีพทหาร เขาเริ่มบทบาท “นักธุรกิจ” โดยเริ่มจากการเข้าร่วมลงทุนกับน้องชายของเขาซึ่งเป็นนักธุรกิจที่มั่งคั่งอยู่ก่อนแล้ว ปัจจุบัน กลุ่มบริษัท นูซานทารา (Nusantara) ของเขามีบริษัทลูก 27 แห่งทั้งในออสเตรเลียและต่างประเทศ มีทั้งธุรกิจน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน สวนปาล์ม และอุตสาหกรรมประมง
ต่อมา เขาหันหน้าเข้าสู่การเมือง โดยในปี 2003 เขาหวังจะเป็นตัวแทนพรรคโกลคาร์ (Golkar) ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี แต่ไม่ได้รับคะแนนสนับสนุนให้เป็นตัวแทนพรรค ต่อมาในปี 2008 เขาก่อตั้งพรรคการเมืองของเขาเองชื่อพรรค “เกอรินดรา” (Gerindra)
เขาเคยสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีมาแล้ว 2 ครั้ง ในปี 2014 และ 2019 ซึ่งพ่ายแพ้ให้แก่โจโก วิโดโด ทั้งสองสมัย แต่เขาก็ได้ร่วมรัฐบาล
แม้ว่าปราโบโวจะมีชื่อเสียงไม่ดีจากประวัติในช่วงที่รับราชการทหาร แต่เขาก็ได้รับความนิยมในหมู่คนรุ่นใหม่เป็นอย่างมาก ด้วยตัวตนที่เข้าถึงง่าย สนุกสนาน มีความแข็งแกร่ง มีความชาตินิยม อยู่ในตัวคนคนเดียว ที่สำคัญคือ คนรุ่นใหม่เกิดไม่ทันยุคที่เขาเป็นทหาร และไม่ค่อยสนใจอดีตของเขาด้วย
ต้องยอมรับว่า เขาคือหนึ่งใน (ว่าที่) ผู้นำที่ผ่านประสบการณ์โชกโชน และชีวิตมีสีสันในหลากหลายแง่มุมมาก
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567