เศรษฐกิจของเวียดนามเติบโตอย่างรวดเร็ว สำหรับไตรมาส 2 ของปีนี้ ซึ่งมาจากการส่งออกที่แข็งแกร่ง และนับเป็นสัญญาณที่ดี หลังไม่กี่วันที่ผ่านมา โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ระบุว่า จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเวียดนามที่ 20%

 

ความกังวลเกี่ยวกับศูนย์กลางการผลิตในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ แผ่วงกว้างมากขึ้น ก่อนการประกาศข้อตกลงการค้าในวันพุธ (2 ก.ค.) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อสหรัฐเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม

 

รัฐบาลเวียดนาม เปิดเผยวานนี้ (5 ก.ค.) ว่าการเติบโตผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2 ระหว่างเมษายน-มิถุนายน เพิ่มขึ้นเป็น 7.96% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จาก 6.93% ในไตรมาสแรก โดยตัวเลขดังกล่าวเกือบถึงเป้าหมายการเติบโตทั้งปีที่รัฐบาลฮานอยตั้งไว้ไม่น้อยกว่า 8%

 

สำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม (NSO) กล่าวว่า ผลประกอบการทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ เป็นไปในเชิงบวก และใกล้เคียงกับเป้าหมาย ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจระดับโลกและระดับภูมิภาค

 

NSO เปิดเผยอีกว่า การส่งออกถือเป็นความหวังสำหรับไตรมาสที่แล้ว ซึ่งเพิ่มขึ้น 18% อยู่ที่ 116,930 ล้านดอลลาร์ จากปีก่อน ขณะที่การนำเข้าเพิ่มขึ้น 18.8% อยู่ที่ 112,520 ล้านดอลลาร์ ซึ่งหมายความว่าเวียดนามเกินดุลการค้าราว 4.4 พันล้านดอลลาร์

 

อย่างไรก็ตาม เวียดนามสามารถปิดดีลภาษีนำเข้าได้ โดยสหรัฐจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าอยู่ที่ 20% จากอัตราภาษีที่ประกาศไว้ครั้งแรกที่ 46% ขณะที่เวียดนามจะถูกเรียกเก็บภาษี 40% สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากประเทศอื่น ส่วนสหรัฐสามารถขายสินค้าไปยังเวียดนามได้โดยไม่เสียภาษี

 

ทั้งนี้ สหรัฐนับเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม โดยเป็นศูนย์กลางการผลิตระดับภูมิภาค ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทข้ามชาติหลายแห่ง เช่น Samsung Electronics และ Foxconn อย่างไรก็ดี เมื่อปีที่แล้วสหรัฐขาดดุลการค้ากับเวียดนามถึง 123,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในโลก นอกจากนี้ เวียดนามยังเป็นที่ตั้งของบริษัทจีนหลายแห่ง ซึ่งนักวิเคราะห์ระบุว่า บริษัทเหล่านี้น่าจะเป็นเป้าหมายหลักของภาษีสินค้านำเข้า 40%

 

ที่มา มติชนออนไลน์

วันที่ 6 กรกฏาคม 2568