ดีลการค้า "สหรัฐ-เกาหลีใต้" ครั้งแรกของ ‘อี แจ มยอง’ พบทรัมป์ จับตา 5 ประเด็นสะเทือนเศรษฐกิจ กองทุนมูลค่า 3.5 แสนล้านดอลลาร์ สะเทือนเศรษฐกิจ

 

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานการพบกันครั้งแรกระหว่าง “โดนัลด์ ทรัมป์” และ ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ คนใหม่ “อี แจ มยอง” ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้เพียง 3 เดือน ที่ทำเนียบขาว

 

การเจรจากันครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่สหรัฐได้ตกลงที่จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าสำคัญจากเกาหลีใต้ 15% ซึ่งรวมถึงรถยนต์ สมาร์ตโฟน และเครื่องจักร โดยมีประเด็นท้าทายหลายอย่าง ตั้งแต่ปัญหาการค้าที่ยังค้างคา ไปจนถึงแนวทางรับมือกับภัยคุกคามด้านความมั่นคงที่กำลังเกิดขึ้นในเอเชีย

 

อี แจ มยอง ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนระหว่างเดินทางไปวอชิงตันว่า “มุ่งมั่นที่จะปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน แม้ตอนนี้สหรัฐจะมองว่าการเจรจานั้นเป็นผลดีต่อเกาหลีใต้ แต่เขาไม่คิดว่าการยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงข้อตกลงที่ได้บรรลุไปแล้วนั้นเป็นสิ่งที่ดี”

 

5 ประเด็นสำคัญที่ควรจับตามองในการหารือระหว่างประธานาธิบดีอี แจ มยอง ของเกาหลีใต้ และโดนัลด์ ทรัมป์ :

 

(1)กองทุนมูลค่า 3.5 แสนล้านดอลลาร์

ประเด็นที่อาจสร้างความขัดแย้งระหว่างเกาหลีใต้กับสหรัฐคือ รายละเอียดของ “กองทุนมูลค่า 3.5 แสนล้านดอลลาร์” ที่เกาหลีใต้ตั้งขึ้นเพื่อลงทุนในโครงการต่างๆ ของสหรัฐ และต้องติดตามกันต่อไปว่าผู้นำทั้งสองจะสามารถตกลงกันได้หรือไม่ว่ากองทุนนี้จะถูกบริหารจัดการอย่างไร 

 

ก่อนหน้านี้ทรัมป์เคยประกาศข้อตกลงนี้เมื่อวันที่ 31 ก.ค.68 ว่าการลงทุนทั้งหมดจะอยู่ภายใต้การดูแลของเขาโดยตรง และ 90% ของกำไร จะต้องไหลกลับสู่สหรัฐ ซึ่งสร้างความกังวลให้ฝั่งเกาหลีใต้เป็นอย่างมาก

 

แม้ทางการเกาหลีใต้จะไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดมากนัก แต่ระบุว่าโครงสร้างกองทุนส่วนใหญ่จะเป็นการค้ำประกันเงินกู้ ซึ่งหมายถึงภาระผูกพันด้านเงินทุนที่แท้จริงจะน้อยกว่า 5% และจากยอดเงินที่ให้คำมั่นทั้งหมด 1.5 แสนล้านดอลลาร์ จะถูกนำไปใช้กับอู่ต่อเรือเพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมในสหรัฐ ซึ่งอี แจ มยอง มีแผนจะเดินทางไปเยี่ยมชมอู่ต่อเรือที่ฟิลาเดลเฟียด้วย

 

อย่างไรก็ตาม เงินที่ให้คำมั่นไว้ 1.5 แสนล้านดอลลาร์ จะถูกจัดสรรให้กับอู่ต่อเรือเพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมการต่อเรือของสหรัฐที่กำลังซบเซา ซึ่งประธานาธิบดีอี แจ มยอง ได้วางแผนจะเดินทางไปเยี่ยมชมอู่ต่อเรือในฟิลาเดลเฟียเพื่อแสดงถึงความตั้งใจนี้

 

(2)ดึงเอกชนลงทุนสหรัฐ :

 

ในการเดินทางครั้งนี้  อี แจ มยอง ได้นำทัพผู้นำจากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ เช่น Samsung Electronics, SK Hynix, LG Energy Solution และ Hyundai Motor เข้าร่วมการประชุมด้วย

 

อดัม ฟาร์ราร์ นักเศรษฐศาสตร์จาก Bloomberg Economics ชี้ว่า การประชุมนี้อาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้ง หากทรัมป์มองว่าเกาหลีใต้ไม่ทำตามที่คาดหวัง เพื่อลดความกังวลนี้ กลุ่มบริษัทเกาหลีใต้จึงมีแนวโน้มที่จะประกาศการลงทุนเพิ่มเติมในสหรัฐตามที่ทรัมป์ได้คาดการณ์ไว้หลังจากประกาศข้อตกลงการค้าครั้งล่าสุด

 

ก่อนหน้านี้ หนังสือพิมพ์ฮันคโยเรห์ คาดว่าบริษัทเหล่านี้จะประกาศแผนการลงทุนในสหรัฐ รวมมูลค่าสูงถึง 1.5 แสนล้านดอลลาร์ ในการประชุมสุดยอดครั้งนี้ ซึ่งหลายบริษัทมีแผนลงทุนอยู่แล้ว เช่น การสร้างโรงงานผลิตชิปของ Samsung ในรัฐเท็กซัส และการลงทุนของ Hyundai Motor มูลค่า 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์ สำหรับโรงงานผลิตรถยนต์ และเหล็กกล้า

 

(3)ลดภาษีรถยนต์-ชิป แลกเปิดตลาดสินค้าเกษตร :

 

ประเด็นที่อาจสร้างความไม่พอใจในประเทศเกาหลีใต้ คือ การที่ลีอาจต้องยอมเปิดตลาดเกษตรกรรมเพิ่มขึ้น เพื่อให้เกษตรกรอเมริกันเข้าถึงตลาดเนื้อวัว และข้าวของเกาหลีใต้ได้มากขึ้น

 

ก่อนหน้านี้ เกาหลีใต้เคยระบุว่าข้าว และเนื้อวัวจะไม่รวมอยู่ในข้อตกลงการค้าเนื่องจากเป็นประเด็นอ่อนไหวทางการเมือง แต่ทรัมป์กลับกล่าวว่า เกาหลีใต้จะ “เปิดกว้างอย่างเต็มที่” ที่จะค้าขายกับสหรัฐรวมถึงสินค้าเกษตร ซึ่งทำให้เกิดการตีความข้อตกลงที่แตกต่างกัน

 

ในแง่ของสัดส่วนทางเศรษฐกิจ ภาคเกษตรกรรมสร้างผลผลิตเพียงประมาณ 1.5% ของ GDP ในขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์ และเซมิคอนดักเตอร์เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และการส่งออกของประเทศ โดยคิดเป็นสัดส่วนรวมกันมากกว่า 40% ของเศรษฐกิจ โดยชิปมีสัดส่วนประมาณ 21% และรถยนต์ประมาณ 10% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดในปีที่แล้ว

 

ดังนั้น เกาหลีใต้จึงคาดว่าจะพยายามผลักดันให้สหรัฐลดภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าส่งออกสำคัญอย่างชิ้นส่วนรถยนต์ และเซมิคอนดักเตอร์ อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามกันว่าประธานาธิบดีอี แจ มยอง จะยอม แลกผลประโยชน์ของภาคเกษตรกรรม ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคเขา เพื่อให้ได้ข้อตกลงที่ดีขึ้นสำหรับผู้ส่งออกรายใหญ่ของประเทศหรือไม่

 

(4)การใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศ

ทรัมป์เรียกร้องให้ชาติพันธมิตรเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหม  ซึ่งทรัมป์เคยเรียกเกาหลีใต้ว่าเป็น “เครื่องจักรผลิตเงิน” เนื่องจากเกาหลีใต้มีทหารอเมริกันประจำการอยู่ 28,500 นาย เพื่อช่วยป้องปรามภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือ

 

แม้ประเด็นด้านกลาโหมจะยังไม่ได้ถูกนำเป็นประเด็นในการเจรจา แต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเกาหลีใต้ยืนยันว่าทั้ง 2 ประเทศกำลังหารือกันเรื่องการเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมของเกาหลีใต้ให้สอดคล้องกับแนวโน้มโลก ซึ่งปีนี้เกาหลีใต้วางแผนจะใช้จ่ายด้านกลาโหม 2.32% ของ GDP

 

(5)เกาหลีเหนือ :

 

หนึ่งในประเด็นที่ อี แจ มยอง และทรัมป์อาจมีแนวทางที่คล้ายกันคือ การจัดการกับเกาหลีเหนือ เนื่องจากทั้งคู่ต่างต้องการเปลี่ยนแปลงแนวทางจากผู้นำคนก่อนๆ

ในช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่ง

ประธานาธิบดีสมัยแรก เขาและคิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ได้พบกัน 3 ครั้ง แต่ก็ไม่สามารถโน้มน้าวให้คิมยับยั้งโครงการอาวุธนิวเคลียร์ได้ ซึ่งเกาหลีเหนือได้ปฏิเสธที่จะเจรจากับสหรัฐ และกลายเป็นพันธมิตรสำคัญของรัสเซีย

 

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ

วันที่ 25 สิงหาคม 2568