ทำไมกรีนแลนด์ ถึงกลายเป็น "ของที่อยากได้" ในสายตาทรัมป์และโลก?
ใต้ธารน้ำแข็งหนาเกือบ 3 กิโลเมตร กรีนแลนด์กำลังกลายเป็นสมรภูมิใหม่ของโลก ดินแดนที่ซ่อนทรัพยากรล้ำค่าและดึงดูดสายตาจากประเทศมหาอำนาจ
ปี 2019 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สร้างความตื่นตะลึงไปทั่วโลกด้วยการเสนอ “ขอซื้อกรีนแลนด์” จากเดนมาร์กอย่างเป็นทางการ แนวคิดที่ฟังดูแปลกประหลาดในตอนแรก กลับเต็มไปด้วยนัยสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ เศรษฐกิจ และภูมิรัฐศาสตร์ จนหลายประเทศเริ่มหันมาจับตาดินแดนน้ำแข็งแห่งนี้อย่างจริงจัง

กรีนแลนด์ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติกและอาร์กติก แม้ในทางภูมิศาสตร์จะถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของทวีปอเมริกาเหนือ แต่ในแง่การเมืองและวัฒนธรรม กรีนแลนด์มีความผูกพันอย่างแน่นแฟ้นกับยุโรป โดยเฉพาะกับเดนมาร์กซึ่งเป็นประเทศแม่
เกาะขนาดมหึมานี้มีพื้นที่ราว 2.17 ล้านตารางกิโลเมตร ใหญ่กว่าไทยประมาณ 4 เท่า แต่กลับมีประชากรเพียง 57,000 คน ทำให้กรีนแลนด์เป็นหนึ่งในดินแดนที่มีความหนาแน่นของประชากรต่ำที่สุดในโลก
เหตุผลสำคัญคือกว่า 80% ของพื้นที่ทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยธารน้ำแข็ง ซึ่งถือเป็นแหล่งน้ำแข็งขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก รองจากทวีปแอนตาร์กติกา

ประชากรส่วนใหญ่จึงอาศัยอยู่กระจุกตัวตามแนวชายฝั่ง โดยเฉพาะบริเวณฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งมีสภาพอากาศอบอุ่นกว่า
ชาวกรีนแลนด์ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มชาติพันธุ์อินูอิต ซึ่งมีวัฒนธรรมดั้งเดิมที่สืบทอดกันมายาวนานนับพันปีในดินแดนแถบอาร์กติก ส่วนที่เหลือราว 11% มีเชื้อสายเดนมาร์กหรือมาจากชาติอื่น ผู้อยู่อาศัยราวหนึ่งในสามของทั้งเกาะ อยู่ที่ เมืองหลวง "นูก" (Nuuk) เป็นศูนย์กลางการเมือง เศรษฐกิจ
แม้จะอยู่ภายใต้ ราชอาณาจักรเดนมาร์ก แต่กรีนแลนด์มีสถานะเป็น ดินแดนปกครองตนเอง (Autonomous Territory) ตั้งแต่ปี 1979 และได้รับสิทธิการปกครองขั้นสูงเพิ่มขึ้นในปี 2009 มี ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา
ฝ่ายนิติบัญญัติ ได้แก่
• Inatsisartut (อินัตสิซาร์ตุต): รัฐสภาของกรีนแลนด์
• เป็น ระบบสภาเดี่ยว
• มีสมาชิกทั้งหมด 31 คน มาจากการเลือกตั้งทุก 4 ปี
• ทำหน้าที่ออกกฎหมายและตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร
มีฝ่ายบริหาร
• ผู้นำรัฐบาลคือ นายกรัฐมนตรี
• นายกรัฐมนตรีได้รับการแต่งตั้งจากเสียงข้างมากในรัฐสภา
• คณะรัฐมนตรี (Naalakkersuisut) คือฝ่ายบริหาร ประกอบด้วยรัฐมนตรีที่ดูแลแต่ละกระทรวง คณะรัฐมนตรีมาจากพรรคหรือกลุ่มพรรคร่วมรัฐบาล
ขณะที่เดนมาร์กยังคงดูแลด้านการต่างประเทศ การป้องกันประเทศ และนโยบายการเงิน แต่กรีนแลนด์มีอำนาจเต็มในด้านการบริหารภายใน
เช่น การเก็บภาษี การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงการเจรจาข้อตกลงด้านสิ่งแวดล้อม การประมง และเหมืองแร่
พรรคการเมืองหลักในกรีนแลนด์ประกอบด้วย
Siumut พรรคซิมุต :
(อาจจะนิยามได้ว่าเป็นพรรคการเมืองแนวกลางซ้าย สนับสนุนการแยกตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป) พรรคซิมุตเป็นพรรคการเมืองที่มีมายาวนานและเคยเป็นผู้นำในรัฐสภา ก่อตั้งขึ้นในปี 1977. พรรคนี้สนับสนุนเอกราชเช่นกัน แต่เน้นแนวทางแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจ
Inuit Ataqatigiit (IA) พรรคอินูอิต อาตากาติจิต :
พรรคสังคมนิยมฝ่ายซ้ายที่สนับสนุนเอกราชของกรีนแลนด์อย่างแข็งขัน และเสนอให้มีการลงประชามติเพื่อตัดสินอนาคตทางการเมืองของเกาะ ก่อตั้งเมื่อปี 1976
Demokraatit พรรคเดโมแครต :
(แนวกลางขวา สนับสนุนความร่วมมือใกล้ชิดกับเดนมาร์ก) เน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ การศึกษา และการดูแลสุขภาพ. พรรคนี้สนับสนุนการปกครองตนเอง และการเป็นอิสระของกรีนแลนด์ แต่ให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจก่อน ก่อตั้งเมื่อปี 2002
พรรคนาเลอรัก (Naleraq) :
พรรคการเมืองที่สนับสนุนเอกราชของกรีนแลนด์อย่างรวดเร็ว โดยเน้นอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและการกำหนดชะตากรรมของตนเอง ก่อตั้งปี 2014
ประเด็นสำคัญในการเมืองกรีนแลนด์ คือการตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตทางการเมืองของเกาะ ความสัมพันธ์กับเดนมาร์ก ความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ และการบรรลุเอกราชเพื่อมีอธิปไตยเต็มรูปแบบ
ด้านเศรษฐกิจและงบประมาณ กรีนแลนด์ได้รายได้จากแหล่งแร่โดยตรง ตั้งแต่ปี 2009 เดนมาร์กสนับสนุนงบประมาณปีละ 3.4 พันล้านโครน หากรายได้จากแร่เกิน 75 ล้านโครน จะลดเงินช่วยเหลือลง หากเงินช่วยเหลือลดเหลือศูนย์ จะสิ้นสุดการสนับสนุน
เบื้องหลังธารน้ำแข็งหนาทึบของกรีนแลนด์ คือทรัพยากรล้ำค่า ทรัมป์มองว่ากรีนแลนด์คือ “อสังหาริมทรัพย์ชิ้นทอง” แห่งอนาคต ด้วยความเชื่อว่าโลกร้อนจะทำให้น้ำแข็งละลายเร็วขึ้น เปิดทางให้เข้าถึงแหล่งน้ำมัน แร่หายาก และทรัพยากรอื่น ๆ ที่ยังไม่ถูกใช้ประโยชน์
ซึ่งจะเป็นขุมทรัพย์แร่หายาก (Rare Earth Elements) ที่จำเป็นต่อเทคโนโลยีทันสมัย เช่น ชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อีกทั้งยังมีศักยภาพกลายเป็นจุดศูนย์กลางของเส้นทางเดินเรือใหม่ระหว่างยุโรปและเอเชีย เมื่ออาร์กติกกลายเป็นทะเลเปิด
ในทางทหาร สหรัฐฯ มีฐานทัพอวกาศปิตุฟฟิก บนเกาะแห่งนี้อยู่แล้ว ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของกรีนแลนด์ ใกล้กับขั้วโลกเหนือ ถือเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่สุดของสหรัฐฯ ในอาร์กติก ด้วยตำแหน่งที่สามารถตรวจจับขีปนาวุธจากขั้วโลกและเชื่อมต่อกับระบบเตือนภัยนิวเคลียร์ทั่วโลก ฐานทัพแห่งนี้ยังมีบทบาทสำคัญด้านการสื่อสารอวกาศ การเฝ้าระวังดาวเทียม และการป้องกันภัยจากอวกาศ ทรัมป์จึงเชื่อว่าการมีกรรมสิทธิ์หรืออิทธิพลโดยตรงต่อกรีนแลนด์จะช่วยเสริมความมั่นคงของสหรัฐฯ ในระยะยาว
อีกหนึ่งแรงผลักที่ทำให้ทรัมป์ต้องการ “กันท่า” คือการเคลื่อนไหวของจีน ซึ่งเริ่มเข้าไปลงทุนในกิจการเหมืองแร่และโครงสร้างพื้นฐานของกรีนแลนด์ รวมถึงการเสนอสร้างสนามบินในพื้นที่บางแห่ง สหรัฐฯ มองว่าการขยายอิทธิพลของจีนในภูมิภาคนี้เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงเชิงยุทธศาสตร์
อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอของทรัมป์ถูกเดนมาร์กปฏิเสธอย่างแข็งกร้าว โดยนายกรัฐมนตรีหญิง เม็ตเต เฟรเดอริกเซน (Mette Frederiksen) ถึงกับกล่าวว่า “กรีนแลนด์ไม่ใช่ของขาย” ขณะที่ชาวกรีนแลนด์จำนวนมากก็ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ เพราะมองว่าเป็นการไม่เคารพอธิปไตย และวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองอินูอิตที่อาศัยอยู่ในพื้นที่มาอย่างยาวนาน
โครงการลงทุนที่สำคัญในกรีนแลนด์ เช่น
(1)โครงการเหมืองแร่ Rare Earths: Tanbreez
ธนาคาร EXIM ของสหรัฐฯ พิจารณาให้กู้ 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แก่ Critical Metals Corp เพื่อพัฒนาเหมือง Tanbreez ในกรีนแลนด์ โดยคาดว่าจะผลิต Rare Earths ได้ปี 2026 จำนวนประมาณ 85,000 ตันต่อปี นอกจากนี้ยังคาดว่ายังมี น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ที่คาดว่ามีศักยภาพมหาศาลแต่ยังไม่ได้สำรวจเต็มที่
(2)การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจากเดนมาร์ก
เดนมาร์กพร้อมเพิ่มงบลงทุนในกรีนแลนด์ เพื่อพัฒนาท่าเรือ โครงสร้างพื้นฐาน เน้นผสมงานด้านกลาโหม, การท่องเที่ยว และแหล่งทรัพยากร
(3)เหมืองแร่และการท่องเที่ยวภาคเอกชน
เชิญชวนการลงทุนจากยุโรป-สหรัฐฯ เน้นการส่งเสริมภาคเหมืองและการท่องเที่ยว
(4)มาตรการสนับสนุนแผนแร่
รัฐบาลออกยุทธศาสตร์แร่ปี 2025–29 เพิ่มพิกัดธรณีวิทยา ศึกษาความเสี่ยง ช่วยลดความเสี่ยงในภาคการลงทุน
วันที่ 28 พฤศจิกายน 2024 นับเป็นหมุดหมายสำคัญของกรีนแลนด์ เมื่อสนามบินนานาชาติแห่งแรกในเมืองนูกเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ สนามบินแห่งนี้มูลค่าลงทุนกว่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ประกอบด้วยทางวิ่งยาว 2,200 เมตร พร้อมระบบนำร่องอากาศ ILS ที่รองรับการลงจอดในสภาพอากาศเลวร้าย รวมถึงอาคารผู้โดยสารใหม่และหอบังคับการบิน นับเป็นโครงการก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดของกรีนแลนด์ในประวัติศาสตร์
การเปิดเที่ยวบินระหว่างประเทศโดยตรงช่วยลดขั้นตอนการต่อเครื่องภายในประเทศ ซึ่งก่อนหน้านี้ ผู้โดยสารต้องใช้สนามบิน Kangerlussuaqสนามบินแคงเกอร์ลุสซวค ที่อยู่ห่างออกไปกว่า 310 กม. ซึ่งสร้างขึ้นโดยกองทัพสหรัฐฯ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

และภายในปี 2026 จะมีสนามบินอีก 2 แห่งในเมือง Ilulissat (อิลูลิสซัต) และ Qaqortoq (กาคอร์ทอก) เปิดตามมา เพื่อสร้างเครือข่ายการบินสมัยใหม่ สนามบินใหม่เหล่านี้คาดว่าจะช่วยลดเวลาเดินทาง ลดต้นทุน และลดการปล่อย CO₂ จากการเดินทางภายในประเทศ
สนามบินเหล่านี้ไม่เพียงช่วยลดเวลาเดินทางและต้นทุนโลจิสติกส์เท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงเศรษฐกิจการส่งออก โดยเฉพาะอาหารทะเลอย่างปลาแซลมอน ปลาค็อด และหอยแช่แข็ง ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ ขณะเดียวกันการเชื่อมต่อทางอากาศที่ดีขึ้นยังจุดกระแสการท่องเที่ยวให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด
โดยสนามบินอิลลูลิแซต ตั้งอยู่ใกล้ “ฟยอร์ดน้ำแข็งอิลลูลิแซต” มรดกโลกของยูเนสโก จะเป็นประตูสู่จุดหมายปลายทางที่โดดเด่นที่สุดของเกาะ และจะช่วยยกระดับกรีนแลนด์ให้เป็นศูนย์กลางการค้าขั้วโลก (Arctic Trade)
ปี 2023 จำนวนผู้โดยสารทางอากาศมายังกรีนแลนด์เพิ่มขึ้นถึง 18.8% สร้างรายได้กว่า 1.9 พันล้านโครนเดนมาร์ก และสนับสนุนการจ้างงานมากกว่า 1,075 ตำแหน่ง
ฟยอร์ดน้ำแข็งอิลลูลิแซต ซึ่งเป็นมรดกโลกของยูเนสโก นักท่องเที่ยวจะได้พบกับแสงเหนือ วิถีชีวิตชาวอินูอิต และภูมิประเทศแบบอาร์กติก คือแม่เหล็กสำคัญที่ดึงดูดนักเดินทางจากทั่วโลก
แม้กรีนแลนด์จะดูห่างไกลและหนาวเย็น แต่ดินแดนแห่งนี้กำลังกลายเป็นสมรภูมิใหม่ของการลงทุนและการแข่งขันทางยุทธศาสตร์ ในยุคที่โลกเผชิญวิกฤตภูมิอากาศและทรัพยากรขาดแคลน

ด้วยทรัพยากรธรรมชาติอันมหาศาล โครงสร้างพื้นฐานที่กำลังเติบโต และทิศทางการเมืองที่เปิดรับการลงทุน กรีนแลนด์จึงไม่ใช่เพียงดินแดนน้ำแข็งอีกต่อไป แต่คือ “น้ำแข็งแฝงอัญมณีที่กำลังหลอมละลาย” และพร้อมเปล่งประกายบนเวทีเศรษฐกิจโลก
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 13 กันยายน 2568