อุณหภูมิโลกร้อนทำลายสถิติใหม่อีกครั้งในวันอังคารที่ 4 กรกฎาคม หลังเพิ่งมีข่าวเพียงหนึ่งวันก่อนหน้านี้ว่า วันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกพุ่งสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์เท่าที่เคยมีการจดบันทึกกันมา หรือสูงที่สุดในรอบ 44 ปี

 

ตามรายงานจาก Climate Reanalyzer ของมหาวิทยาลัยเมนในสหรัฐ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่อิงข้อมูลจากดาวเทียม การสังเกตุการณ์ และการจำลองด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งนักวิทยาศาสตรด้านสภาพอากาศนำมาใช้เพื่อดูภาพรวมของสภาพภูมิอากาศทั่วโลกพบว่า อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกในวันที่ 4 กรกฎาคม อยู่ที่ 17.81 องศาเซลเซียส ทำลายสถิติเดิมก่อนหน้าเพียง 24 ชั่วโมง ที่ 17.07 องศาเซลเซียส

 

ขณะที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่า วันพุธที่ 5 กรกฎาคม อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกก็อาจจะทำลายสถิติของวันอังคารอีกครั้ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่กำลังเกิดขึ้นจริง และแม้ว่ามันอาจจะสร้างความตื่นตระหนกแต่ก็ไม่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ปรหลาดใจแต่อย่างใด

 

 

คริส ฟิลด์ นักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด กล่าวว่า บันทึกข้อมูลดังกล่าวเป็นหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งของข้อมูลมากมายที่สนับสนุนข้อเท็จจริงที่ว่า ภาวะโลกโลกร้อนกำลังผลักดันให้เราต้องเผชิญกับอนาคตที่ร้อนขึ้น

 

ซาราห์ แคปนิค หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ขององค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐ (NOAA) กล่าวว่า ความร้อนที่เพิ่มขึ้นของโลกมาจากปรากฎการณ์เอลนีโญซึ่งโดยธรรมชาติแล้วจะทำให้มหาสมุทรแปซิฟิกร้อนขึ้น และจะทำให้อุณหภูมิโลกร้อนขึ้นตามไปด้วย โดยมันจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นกับสภาพอากาศทั่วโลก นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ ทั้งจากการเผาถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซ

 

แคปนิคกล่าวว่า แม้ตัวเลขที่ถูกนำมาใช้อ้างอิงดังกล่าวจะไม่ใช่ตัวเลขที่ถือเป็นบันทึกอย่างเป็นทางการของรัฐบาล แต่มันแสดงให้เห็นถึงจุดที่เรากำลังเผชิญอยู่ และ NOAA จะนำตัวเลขดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาในการคำนวนบันทึกของทางการต่อไป พร้อมกับรับว่าจากขอมูลอื่นๆ ก็แสดงให้เห็นว่า โลกมีแนวโน้มที่จะได้เห็นวันที่ร้อนที่สุดในรอบหลายร้อยปีเท่าที่เราเคยพบมา

 

ที่มา มติชนออนไลน์

วันที่ 6 กรกฏาคม 2566