นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.) เปิดเผยถึงภาพรวมการลงทุนไทยช่วงครึ่งปี 2566 และแนวโน้มครึ่งปีหลัง ว่า นักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติตัดสินใจลงทุนเติบโตอย่างมาก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง อาทิ ยานยน์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์อัฉริยะ ส่งผลต่อยอดขาย/เช่าที่ดิน กนอ.ตลอดปีงบประมาณ 2566(1ตุลาคม2565-30กันยายน2566) มีโอกาสแตะ 4,350 ไร่ จากยอด ณ เดือนพฤษภาคม 4,130 ไร่ และจากเป้าหมายปีนี้ที่ตั้งไว้ที่ 3,000 ไร่ เพิ่มจากปี 2565 ซึ่งมียอดขายรวมอยู่ที่ 2,016 ไร่

 

นายวีริศ กล่าวว่า ปัจจัยสนับสนุนมาจากสถานการณ์โควิดคลี่คลายมีการเปิดประเทศมากขึ้น ทำให้กนอ.สามารถออกไปชักจูงการลงทุน(โรดโชว์)อย่างต่อเนื่อง อาทิ จีน เกาหลี ญี่ปุ่น โดยเฉพาะญี่ปุ่นโรดโชว์รวม 3 ครั้งสุดท้ายคือปลายเดือนมิถุนายน นอกจากนี้ยังมีนักลงทุนที่สนใจอยู่ก่อนแล้ว กนอ.จึงพานักลงทุนสำรวจพื้นที่นิคม ให้ข้อมูล สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน โดยเฉพาะประเทศผู้ลงทุนหลักอย่าง จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน และยุโรปซึ่งย้ายฐานผลิตและเลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญ จากแรงกดดันจากการเมืองระหว่างประเทศ ประกอบกับนโยบายบางประเทศถึงจุดอิ่มตัว ขณะที่นิคมอุตสาหกรรมไทยมีระบบห่วงโซ่อุปทานเข้มแข็ง โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และดิจิทัล

 

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) กล่าวว่า สถิติคำขอรับการส่งเสริมการลงทุน 6 เดือน (มกราคม – มิถุนายน) ปี 2566 มีโครงการยื่น 891 โครงการ เพิ่มขึ้น 18% เงินลงทุน 364,420 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 70% ส่วนใหญ่ลงทุนอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ จากกระแสย้ายฐานเพื่อลดความเสี่ยงจากสงครามการค้าและความขัดแย้งของขั้วมหาอำนาจ รวมทั้งต้นทุนการผลิตโลกตะวันตกสูงขึ้นมาก นักลงทุนเชื่อมั่นศักยภาพไทย รวมทั้งอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารแปรรูป บริษัทระดับโลกหลายรายตัดสินใจขยายฐานผลิตมาไทย อาทิ บริษัท พริงเกิลส์ ผู้ผลิต มันฝรั่งแผ่นสหรัฐอเมริกา บริษัท โลตัส บิสคอฟ ผู้ผลิตบิสกิตชื่อดังแบรนด์ Lotus Biscoff สัญชาติเบลเยี่ยม และอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน ค่ายอีวีหลายชาติลงทุนไทยโดยเฉพาะจีน และมีกิจการผลิตไฟฟ้าโดยเฉพาะพลังงานหมุนเวียนลงทุนสูง

 

นายนฤตม์ กล่าวว่า คำขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) ช่วง 6 เดือนแรก จำนวน 507 โครงการ เพิ่มขึ้น 33% เงินลงทุน 304,041 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 141% จีนลงทุนมากที่สุด รองลงมาคือ สิงคโปร์ และญี่ปุ่น ขณะที่การออกบัตรส่งเสริมขั้นตอนใกล้เคียงการลงทุนจริงที่สุดในช่วง 1 ปีข้างหน้าเพิ่มขึ้นเช่นกัน 851 โครงการ เพิ่มขึ้น 24% เงินลงทุน 234,690 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8%

 

ที่มา มติชนออนไลน์

วันที่ 11 กรกฏาคม 2566