ไทย เล็งทำ FTA กับกลุ่ม EAC  ด้านเคนยาอยากขยายส่งออกสินค้ามาไทย ทั้งกาแฟ กุหลาบ และอะโวคาโด พร้อมชวนลงทุนก่อสร้าง สุขภาพ เทคโนโลยีการเกษตร และเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดประชุม JTC ระดับรัฐมนตรีต้นปี 67 

 

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ได้ร่วมหารือกับนายคิปทิเนสส์ ลินด์ซีย์ คิมโวเล เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเคนยาประจำประเทศไทย (Mr. Kiptiness Lindsay Kimwole) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนระหว่างไทยและเคนยา โดยการหารือครั้งนี้ ไทยเห็นว่าภูมิภาคแอฟริกาเป็นตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ

 

รวมทั้งผู้ประกอบการและนักลงทุนไทยสนใจที่จะขยายการค้าและการลงทุน ด้านภาคเอกชนเสนอให้กระทรวงพาณิชย์จัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับกลุ่มประเทศในทวีปแอฟริกา

 

ทำให้ไทยสนใจที่จะทำ FTA กับกลุ่มประเทศประชาคมแอฟริกาตะวันออก (East African Community: EAC) ที่ประกอบด้วยสมาชิก 7 ประเทศ คือ เคนยา สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก บุรุนดี รวันดา ซูดานใต้ ยูกันดา และแทนซาเนีย ซึ่ง FTA จะช่วยอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุน 

 

 

“ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องที่จะจัดประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee: JTC) ระดับรัฐมนตรี เพราะถือเป็นกลไกสำคัญในการหารือด้านเศรษฐกิจการค้าและการลงทุน

 

โดยเคนยาจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุมในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 ซึ่งถือเป็นโอกาสดีที่จะได้จัดกิจกรรมสร้างเครือข่าย และจับคู่ธุรกิจระหว่างนักธุรกิจไทยกับเคนยา รวมทั้งเผยแพร่ข้อมูลกฎระเบียบการค้าการลงทุนของประเทศเคนยาให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น”

 

นอกจากนี้ ไทยได้เชิญชวนให้นักธุรกิจเคนยาเข้าร่วมงานแสดงสินค้า เช่น งานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ งานมหกรรมแทรกเตอร์และจักรกลการเกษตรไทย (THAITAM) และงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มระหว่างประเทศ (THAIFEX-Anuga Asia) สำหรับเคนยาแสดงความสนใจที่จะขยายการส่งออกสินค้าหลายรายการมายังไทย อาทิ กาแฟ กุหลาบ และอะโวคาโด รวมทั้งเชิญนักลงทุนไทยขยายตลาดไปยังเคนยา โดยเฉพาะสาขาก่อสร้าง ธุรกิจสุขภาพ และเทคโนโลยีการเกษตร

 

ทั้งนี้ ในปี 2565 การค้าระหว่างไทยกับเคนยา มีมูลค่า 256.16 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออกไปเคนยา มูลค่า 226.82 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และไทยนำเข้าจากเคนยา มูลค่า 29.34 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำตาลทราย ผลิตภัณฑ์ยาง เม็ดพลาสติก และข้าว และสินค้านำเข้าสำคัญ อาทิ เคมีภัณฑ์ สินแร่โลหะอื่นๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ และเครื่องเพชรพลอย

 

ที่มา ฐานเศรษฐกิจ

วันที่ 12 กรกฏาคม 2566