สทนช. ปรับแผนบริหารนํ้าใหม่ รับมือลานีญาพร้อมเปิดพื้นที่เสี่ยงนํ้าท่วมฤดูฝน ปี 67 ขณะกรมชลฯ เปิด 75 จังหวัด 1,267 จุด เสี่ยงเฝ้าระวังนํ้าท่วม พร้อมให้ความช่วยเหลือทันท่วงที นักวิชาการ ชี้ปรากฎการณ์เอลนีโญ-ลานีญา เกิดในปีเดียวกัน รอบ 75 ปี มี 10 ครั้ง

 

กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์สภาวะเอลนีโญในขณะนี้จะอ่อนกำลังลงและเปลี่ยนเข้าสู่ภาวะเป็นกลาง ในช่วงเดือนมิถุนายน โดยมีความน่าจะเป็นถึงร้อยละ 69 ที่จะเปลี่ยนสู่สภาวะลานีญา ซึ่งจะส่งผลให้มีปริมาณฝนเพิ่มมากขึ้นในเดือนกรกฎาคม-กันยายน และจะคงสภาวะนี้ต่อเนื่องไปจนถึงปลายปี 2567

 

 

นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรนํ้าแห่งชาติ (สทนช.)  เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า รูปแบบแผนการบริหารจัดการนํ้า ในปีนี้จะมีการบริหารจัดการแบบลุ่มนํ้า และกลุ่มลุ่มนํ้า ที่ต้องประเมินว่าในลุ่มนํ้าใดจะมีปริมาณนํ้ามาก โดยในส่วนของเขื่อน /อ่างเก็บนํ้า จะมีการบริหารจัดการล่วงหน้า หากนํ้ามีปริมาณมาก จะต้องเร่งระบายเพื่อรักษาความปลอดภัยของตัวเขื่อน อาจต้องมีการพร่องนํ้าออกมาก่อน เพื่อให้เขื่อนมีพื้นที่ว่าง สามารถรับนํ้าได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

 

“ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม เป็นต้นไป จะเข้าสู่ลานีญา ประมาณ 80-90% และช่วงที่ฝนตกหนักถึงหนักมาก จะเป็นช่วงเดือนสิงหาคมและกันยายน โดยรวมแล้ว ถ้าไม่เกี่ยวข้องกับพายุ ได้มีการประเมินว่าฝนจะมีมากกว่าค่าเฉลี่ยปกติประมาณ 10% ซึ่ง สทนช.เป็นองค์กรที่บริหารจัดการนํ้าในภาพรวมและขอความร่วมมือผ่าน 10 มาตรการรับมือฤดูฝนปี 67 ที่ได้กระจายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เฝ้าระวังและติดตามสภาพอากาศอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์วางแผนการบริหารจัดการนํ้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนให้มากที่สุด”

 

สำหรับพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยในปีนี้ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรนํ้า (องค์การมหาชน) มีการประเมินพื้นที่เสี่ยงแบบชี้เป้า และแจ้งเตือนพื้นที่เสี่ยงนํ้าท่วมแบบรายเดือน โดย 

 

เดือนมิถุนายน :

มีทั้งหมด 14 จังหวัด ใน 35 อำเภอ 59 ตำบล ประกอบด้วย  น่าน อุตรดิตถ์, แพร่ ,พิษณุโลก, อุดรธานี, หนองบัวลำภู, เลย, พังงา, ชุมพร, สุราษฎร์ธานี, ตรัง, ภูเก็ต และนราธิวาส

 

เดือนกรกฎาคม :

มี 43 จังหวัด 178 อำเภอ 693  ประกอบด้วย จังหวัดภูเก็ต, เชียงราย, เชียงใหม่, พะเยา, ลำปาง, ลำพูน, น่าน, แม่ฮ่องสอน, เชียงราย, ลำพูน, เลย, พิษณุโลก, อุตรดิตถ์, อุดรธานี, หนองบัวลำภู, เพชรบูรณ์, ขอนแก่น, กาฬสินธุ์, มุกดาหาร, มหาสารคาม, ตาก, ร้อยเอ็ด, ขอนแก่น, ร้อยเอ็ด, ชัยภูมิ, อุบลราชธานี, ชัยนาท, ศรีสะเกษ, อุทัยธานี, ลพบุรี, กาญจนบุรี, สระบุรี, พระนครศรีอยุธยา, นครนายก, ฉะเชิงเทรา, จันทบุรี, ตราด, ระยอง, พังงา, ระนอง, ชุมพร, ตราด, ตรัง, กระบี่, ภูเก็ต และ นครศรีธรรมราช

 

 

“เดือนสิงหาคม” 

มี  63 จังหวัด 339 อำเภอ 1,410 ตำบล ประกอบด้วย  จังหวัสุพรรณบุรี, กาญจนบุรี, แม่ฮ่องสอน, เชียงใหม่, ร้อยเอ็ด, ภูเก็ต, กรุงเทพมหานคร, เชียงราย, แม่ฮ่องสอน, พะเยา, แพร่, ลำปาง, บึงกาฬ, ลำพูน, น่าน, พะเยา, แพร่, สกลนคร, เลย, บึงกาฬ, หนองคาย, อุตรดิตถ์, เลย, นครพนม, พิษณุโลก, ตาก, อุดรธานี, สุโขทัย, ลำพูน, พิจิตร, ขอนแก่น, กาฬสินธุ์, กำแพงเพชร, ร้อยเอ็ด, นครสวรรค์, ยโสธร, ชัยภูมิ, อุบลราชธานี, อำนาจเจริญ, อุทัยธานี, นครราชสีมา, ชัยนาท, ลพบุรี, ศรีสะเกษ, นครราชสีมา, ลพบุรี, บุรีรัมย์, พระนครศรีอยุธยา, อ่างทอง, สระแก้ว, นครนายก, สมุทรปราการ, ฉะเชิงเทรา, นครปฐม, ปราจีนบุรี, ราชบุรี, จันทบุรี, ตราด, ระยอง, ชลบุรี, พังงา, สุราษฎร์ธานี, ระนอง, ชุมพร, ประจวบคีรีขันธ์, ตรัง, ภูเก็ต, นครศรีธรรมราช และสตูล

 

 

เดือนกันยายน :

มี 67 จังหวัด 544 อำเภอ 2,826  ประกอบด้วย จังหวัดกาญจนบุรี, แม่ฮ่องสอน, เชียงใหม่, กรุงเทพฯ, เชียงราย, พะเยา, บึงกาฬ, ลำปาง, อุตรดิตถ์, แพร่, น่าน, ลำพูน, อุดรธานี, หนองคาย, สกลนคร, ตาก, สุโขทัย, หนองบัวลำภู, เลย, นครพนม, อุดรธานี, พิษณุโลก, หนองคาย, แม่ฮ่องสอน, เพชรบูรณ์, พิจิตร, ชัยภูมิ, กำแพงเพชร, ขอนแก่น, ตาก, กาฬสินธุ์, ยโสธร, ร้อยเอ็ด, นครสวรรค์, อุบลราชธานี, ขอนแก่น, ชัยภูมิ, มหาสารคาม, อำนาจเจริญ, ศรีสะเกษ, อุทัยธานี, นครราชสีมา, ชัยนาท, ลพบุรี, สุรินทร์, สิงห์บุรี, สุพรรณบุรี, พระนครศรีอยุธยา, ตรัง, สตูล, สงขลา, สุราษฎร์ธานี, พังงา, นครศรีธรรมราช, ภูเก็ต, กระบี่, ตราด, ชุมพร, ระนอง, พังงา, สมุทรปราการ, ราชบุรี, ฉะเชิงเทรา, สระแก้ว

 

เดือนตุลาคม :

มีทั้งหมด 73 จังหวัด 532 อำเภอ 2,544 ตำบล  อาทิ  จังหวัดตรัง, สตูล, สงขลา, ยะลา, นราธิวาส, สุราษฎร์ธานี, พังงา, นครศรีธรรมราช, กระบี่, ภูเก็ต, ประจวบคีรีขันธ์, ชุมพร, ระนอง, จันทบุรี, ชลบุรี, สมุทรสาคร, ฉะเชิงเทรา, เพชรบุรี, ระยอง, สระแก้ว, กาญจนบุรี, นนทบุรี, นครปฐม, ปราจีนบุรี, อ่างทอง, นครราชสีมา, บุรีรัมย์, พระนครศรีอยุธยา, สุพรรณบุรี เป็นต้น

 

ด้านนายชูชาติ รักจิตร อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวถึงแผนการบริหารจัดการนํ้าฤดูฝนปี 2567 (1 พ.ค.-31 ต.ค.67) ว่า อ่างเก็บนํ้าขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศมีปริมาณนํ้ารวมกันทั้งสิ้น 41,765 ล้านลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.) ยังสามารถรองรับนํ้าในช่วงฤดูฝนได้อีกกว่า 34,572 ล้าน ลบ.ม. เฉพาะลุ่มนํ้าเจ้าพระยา 4 เขื่อนหลัก (ภูมิพล สิริกิติ์ แควน้อยบำรุงแดน ป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณนํ้ารวม 11,256 ล้าน ลบ.ม. สามารถรองรับนํ้าในช่วงฤดูฝนได้อีกกว่า 13,615 ล้าน ลบ.ม. เน้นเก็บกักนํ้าสำรองไว้ใช้ฤดูแล้งปี 2568 ให้มากที่สุดตามนโยบายรัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ

 

 

“กรมชลฯ ได้เตรียมความพร้อมพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดอุทกภัย ปี 2567 ทั้งหมด 75 จังหวัด 448 อำเภอ 972 ตำบล จำนวน 1,267 จุด โดยแบ่งเป็นภาคเหนือ 199 จุด ภาคกลาง 424 จุด ภาคใต้ 120 จุด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 411 จุด และภาคตะวันออก 113 จุด มีการกำหนดคน กำหนดพื้นที่เสี่ยง กำหนดเครื่องจักรเครื่องมือและระบบสื่อสาร ประจำพื้นที่ต่างๆ เพื่อให้สามารถเข้าแก้ไขสถานการณ์ได้ทันที”

 

ด้าน รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช ผู้เชี่ยวชาญงานวิจัยด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ผลพยากรณ์ของสำนักอุตุนิยมวิทยา 12 สำนักทั่วโลก เตือนทุกภูมิภาครับมือกับอากาศผันผวนที่จะเกิดเอลนีโญสลับเป็นลานีญาในปีเดียวกันไม่บ่อยมากนัก โดยในรอบ 75 ปี มีเพียง 10 ครั้ง

 

ที่มา ฐานเศรษฐกิจ

วันที่ 31 พฤษภาคม 2567