ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ ให้คำมั่นว่าจะยุติสงครามยูเครนโดยเร็ว แต่มีเสียงติงว่า นี่เป็นการยอมอ่อนข้อให้กับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซียหรือไม่

 

สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงาน เมื่อวันพุธ (12 ก.พ.) ตามเวลาสหรัฐ ทรัมป์โทรศัพท์คุยเรื่องสงครามกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซีย และประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีของยูเครน และแจ้งเจ้าหน้าที่สหรัฐให้เริ่มเจรจายุติสงครามที่ดำเนินมาเกือบสามปี

หลังคุยกับปูตินนานกว่าหนึ่งชั่วโมง ทรัมป์เผยว่า ผู้นำรัสเซียต้องการให้สงครามยุติ ทั้งคู่หารือกัน “ให้ได้ข้อตกลงหยุดยิงเร็วๆ นี้”

 

“เขาต้องการให้มันจบ เขาไม่ต้องการจบมันแล้วอีกหกเดือนก็กลับมาสู้รบกันใหม่ ผมคิดว่าเรากำลังจะได้สันติภาพ ผมว่าประธานาธิบดีปูตินต้องการสันติภาพ ประธานาธิบดีเซเลนสกีต้องการสันติภาพ และผมก็ต้องการ ผมก็แค่อยากเห็นผู้คนไม่ต้องถูกฆ่าอีก” ทรัมป์เผยกับผู้สื่อข่าว

 

หลังคุยกับปูตินทรัมป์ได้โทรศัพท์คุยกับเซเลนสกีราวหนึ่งชั่วโมง ผู้นำยูเครนโพสต์บนแพลตฟอร์ม X

 

“ผมได้พูดคุยอย่างมีเนื้อหากับ@POTUS เราพูดคุยถึงโอกาสที่จะบรรลุสันติภาพ หารือถึงความพร้อมที่จะร่วมงานกัน และขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีของยูเครน เช่น โดรน์และอุตสาหกรรมก้าวหน้าอื่นๆ”

 

การโทรศัพท์ดังกล่าวเกิดขึ้นไม่นานหลังพีต เฮกเซธ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐ แจ้งพันธมิตรทางทหารของยูเครนในกรุงบรัสเซลส์ว่า การทำให้พรมแดนยูเครนกลับไปสู่สภาพเดิมก่อนรัสเซียผนวกไครเมียในปี 2014 นั้นไม่สมจริง และสหรัฐไม่เห็นว่าการที่รัฐบาลเคียฟได้เป็นสมาชิกนาโตจะเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางแก้ไขปัญหา ทหารสหรัฐจะไม่ร่วมดูแลความมั่นคงในยูเครน

 

ด้านไมเคิล แมคฟอล อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำรัสเซียภายใต้รัฐบาลประธานาธิบดีบารัก โอบามา จากปี 2012-2014 ตั้งคำถามกับยุทธศาสตร์ของรัฐบาลทรัมป์ที่มีต่อรัสเซียและยูเครนก่อนการเจรจาจะเริ่มขึ้น

 

“ทำไมรัฐบาลทรัมป์ให้ของขวัญปูติน ทั้งที่ดินยูเครนและไม่ให้ยูเครนเป็นสมาชิกนาโตก่อนที่การเจรจาจะเริ่มขึ้น”

“ผมเคยเจรจากับคนรัสเซีย คุณไม่เคยให้อะไรเขาฟรีๆ”แมคฟอลโพสต์ X

 

ปูตินกล่าวเสมอมาว่า รัสเซียเปิดโอกาสเจรจายุติความขัดแย้งตลอดเวลา แต่มอสโกต้องบรรลุเป้าหมายทำให้ยูเครนปลอดอาวุธและเป็นกลาง

 

ขณะที่เจ้าหน้าที่ในรัฐบาลทรัมป์ส่งสัญญาณมาระยะหนึ่งแล้วว่า จะไม่สนับสนุนเป้าหมายทุกอย่างของยูเครน ความเห็นของเฮกเซธและทรัมป์จึงสร้างความสั่นสะเทือนให้กับพันธมิตรยุโรป

 

การโทรศัพท์คุยกับปูตินและเซเลนสกีของทรัมป์ รวมถึงความเห็นของเฮกเซธ เกิดขึ้นในช่วงที่สกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐไปเยือนกรุงเคียฟ และว่าข้อตกลงแร่ธาตุระหว่างเคียฟกับวอชิงตันจะให้ “โล่คุ้มกันความปลอดภัย” ให้ยูเครนหลังสงคราม ซึ่งเซเลนสกีกล่าวว่า ตนพร้อมจะทำข้อตกลงเพื่อเปิดให้สหรัฐเข้ามาลงทุนทรัพยากรแร่ธาตุในยูเครน

 

จีนเสนอ ‘ปูติน-ทรัมป์’ ประชุมยุติสงครามยูเครน :

 

สำนักข่าวรอยเตอร์สอ้างรายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล แหล่งข่าววงในหลายรายทั้งในปักกิ่งและวอชิงตันเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ทางการจีนยื่นข้อเสนอผ่านคนกลางต่อทีมงานประธานาธิบดี ทรัมป์ ให้จัดการประชุมระหว่างทรัมป์และปูติน และอำนวยความสะดวกความพยายามรักษาสันติภาพหลังจากหยุดยิงกันได้ในที่สุด

รอยเตอร์สสอบถามไปยังกระทรวงต่างประเทศจีนยังไม่ให้ความเห็น

 

ทั้งนี้ เมื่อวันพุธ (12 ก.พ.) ตามเวลาท้องถิ่น หลังจากทรัมป์โทรศัพท์คุยกับปูติน และเซเลนสกีของยูเครน  ทั้งสองคนต้องการสันติภาพ และตนสั่งให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐเริ่มเจรจายุติสงครามในยูเครนแล้ว

 

ด้านทำเนียบเครมลินเผยว่า ปูตินและทรัมป์ตกลงจะพบกัน ปูตินเชิญทรัมป์มาเยือนมอสโก ส่วนทรัมป์กล่าวว่า การพบกันครั้งแรก “อาจจะ” เกิดขึ้นเร็วๆ นี้ที่ซาอุดีอาระเบีย

 

สงครามในยูเครนดำเนินมาเกือบครบสามปีแล้ว เคยมีการเจรจาสันติภาพกันบ้างในช่วงเดือนแรกๆ แต่หลังจากก็ไม่เคยมีอีกเลย ในสมัยประธานาธิบดีโจ ไบเดน สหรัฐเคยให้ความช่วยเหลือทางทหารและอื่นๆ แก่รัฐบาลเคียฟหลายพันล้านดอลลาร์ และไม่เคยติดต่อกับปูตินเลยหลังรุกรานยูเครน

รัสเซียยึดครองยูเครนราวหนึ่งในห้า และเรียกร้องให้เคียฟยอมยกพื้นที่ให้เพิ่มเติมอีก และต้องวางตัวเป็นกลางอย่างถาวรหากจะมีข้อตกลงหยุดยิง

 

ส่วนยูเครนเรียกร้องให้รัสเซียถอนตัวออกจากพื้นที่ที่ยึดไป รัฐบาลเคียฟต้องได้เป็นสมาชิกนาโตหรือได้รับการรับประกันความมั่นคงเทียบเท่ากันเพื่อป้องกันไม่ให้รัฐบาลมอสโกโจมตีได้อีก

 

ขณะที่จีนถูกชาติตะวันตกเรียกร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ใช้ความใกล้ชิดกับรัสเซียช่วยยุติสงคราม รัฐบาลปักกิ่งกล่าวว่า จีนไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของวิกฤติแต่ส่งเสริมให้เจรจาสันติภาพตามเงื่อนไขของจีนมาโดยตลอด

ในแผนสันติภาพปีก่อน จีนกับบราซิลร่วมกันเสนอให้มีการประชุมสันติภาพระหว่างประเทศ “ในเวลาที่เหมาะสม” และให้ทั้งยูเครนและรัสเซียมีส่วนร่วมเท่าๆ กัน

 

ที่่มา กรุงเทพธุรกิจ

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568