WHO หนุนรัฐบาลทั่วโลกใช้ภาษี ขึ้นราคาน้ำตาล-แอลกอฮอล์-ยาสูบ อีก 50% ภายใน 10 ปี
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) กำลังผลักดันให้ให้ประเทศต่างๆ ใช้ภาษีขึ้นราคาเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาลสูง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และยาสูบ ขึ้นจากราคาปัจจุบัน 50% ภายใน 10 ปีข้างหน้า ถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดที่ WHO สนับสนุนการใช้ “ภาษีบาป” เพื่อให้ประชาชนลดการบริโภคสินค้าดังกล่าว ลดปัญหาจำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่พุ่งสูง อีกทั้งยังเป็นการช่วยให้รัฐบาลของประเทศต่างๆ มีงบประมาณด้านสาธารณสุขเพิ่มขึ้น
นายเจเรมี ฟาราร์ ผู้ช่วยอธิบดีหน่วยงานส่งเสริมสุขภาพ การควบคุมและป้องกันโรคของ WHO กล่าวว่า ภาษีสุขภาพ (Health tax) คือเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดที่เรามีตอนนี้ WHO ได้ผลักดันให้มีการเก็บภาษียาสูบและขึ้นราคาสินค้ายาสูบมานานหลายสิบปีแล้ว และในช่วงที่ผ่านมา WHO ผลักดันให้มีการเก็บภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลมาก แต่นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ WHO เสนอตัวเลขเป้าหมายของการขึ้นราคาผลิตภัณฑ์ดังกล่าว
ดร.เท็ดรอส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการ WHO กล่าวว่าการเก็บภาษีเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาลสูง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และยาสูบ จะช่วยให้รัฐบาลต่างๆ ปรับตัวกับสภาพความเป็นจริงใหม่ และใช้เงินที่ได้จากภาษีดังกล่าวมาพัฒนาระบบสาธารณสุขของตัวเองให้ดีขึ้น
นโยบายดังกล่าวของ WHO จะหมายความว่าประเทศฐานะปานกลางจะขึ้นภาษีเพื่อให้ราคาสินค้าเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาลสูง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และยาสูบ จากเดิมที่มีราคา 4 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 129 บาท ขึ้นเป็น 10 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 323 บาท ภายในปี 2035 โดยการขึ้นภาษีที่ WHO เสนอจะช่วยเพิ่มเม็ดเงินมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2035 อ้างอิงข้อมูลจากการเก็บภาษีสุขภาพในประเทศต่างๆ อาทิ โคลอมเบียและแอฟริกาใต้
จนถึงตอนนี้ ประเทศต่างๆ ทั่วโลกเกือบ 140 ประเทศได้ขึ้นภาษียาสูบ ซึ่งทำให้ราคายาสูบสูงขึ้นกว่า 50% ระหว่างปี 2012 – 2022 แต่ WHO กำลังพิจารณาที่จะออกคำแนะนำให้รัฐบาลต่างๆ ทั่วโลกขึ้นภาษีสินค้าอื่นๆ อาทิ อาหารแปรรูปสูง แต่นโยบายดังกล่าวอาจได้ถูกคัดค้านโดยอุตสาหกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าดังกล่าว
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 3 กรกฏาคม 2568