Art of The Deal ไทยรอช้าไม่ได้แล้ว!
จดหมายที่ประธานาธิบดี "โดนัลด์ ทรัมป์" แห่งสหรัฐส่งถึงไทย โดยยืนยันว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากไทยในอัตรา 36% ถือเป็นสัญญาณเตือนที่ดังชัดขึ้นถึงพลวัตความสัมพันธ์ทางการค้าที่เปลี่ยนแปลงไป
และเป็นการตอกย้ำว่า “ทรัมป์” ต้องการให้ “ไทย” กลับมาเจรจาโดยยื่นเงื่อนไขทางการค้าใหม่และต้องเป็นเงื่อนไขที่ดีที่สุด ซึ่ง “สหรัฐ” ไม่อาจปฏิเสธได้ กลยุทธ์เหล่านี้ “ทรัมป์” คงนำมาจากหนังสือเล่มโปรด คือ The Art of The Deal
ในมุมของไทยเอง “ทางเลือก” มีไม่มากนัก เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าไทยพึ่งพาการค้ากับสหรัฐมาก สะท้อนผ่านมูลค่าการส่งออกของไทยไปสหรัฐที่มีสัดส่วนราว 18% หรือเกือบๆ 1 ใน 5 ของการส่งออกทั้งหมด ในขณะที่ภาคการส่งออกไทยมีสัดส่วนต่อจีดีพีราว 65% หากไทยโดนภาษีในอัตรา 36% เป็นระดับที่สูงกว่าคู่แข่งอย่าง “เวียดนาม” แบบมีนัยสำคัญ คำสั่งซื้อสินค้าจากไทยหายไปทันที โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร และผลิตภัณฑ์ยาง
รัฐบาลอาจมองว่า เรายังไม่ควรตื่นตระหนกเกินไปเพราะจดหมายที่ “ทรัมป์” ส่งมายังเป็นเพียง “การแจ้งเตือน” และปัจจุบัน “สหรัฐ” ยังคงเรียกเก็บภาษีจากไทยในอัตรา 10% ...ที่สำคัญ “ไทย” ยังอยู่ในวงเจรจา จะรู้ผลชัดเจนว่าถูกเรียกเก็บในอัตราเท่าไรอย่างช้าสุดก็น่าจะก่อนวันที่ 1 ส.ค.2568 ซึ่งเป็นเส้นตายใหม่ที่ ทรัมป์ ขีดเอาไว้
โดยทีมที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลส่งสัญญาณเบาๆ ว่า แม้ยอดส่งออกของไทยไปสหรัฐมีสัดส่วน 18% ของการส่งออกทั้งหมดและคิดเป็น 13% ของ Gross GDP แต่ถ้าหักลบกับ Import Content แล้ว ธุรกิจส่งออกไปสหรัฐมีผลต่อเศรษฐกิจไทยแค่ราวๆ 2% ยังไม่นับเป็น “วิกฤติที่รุนแรง” (economic disaster) ของไทย ยกเว้นเฉพาะบางกลุ่มธุรกิจเท่านั้น
อย่างไรก็ตามนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่กลับไม่คิดเช่นนั้น เพราะถ้าไทยโดนภาษีสูงถึง 36% จริง ผลกระทบที่ยิ่งใหญ่กว่าการส่งออก คือ การลงทุนที่อาจหดหาย โดยเฉพาะ FDI ที่มีแผนเข้ามาลงทุนคงมีคำถามตัวโตๆ ว่า ตั้งโรงงานในประเทศไทยผลิตและส่งออกไปสหรัฐโดนภาษี 36% แต่ถ้าไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามภาษีถูกกว่า ที่สำคัญเศรษฐกิจในประเทศยังเติบโตดีกว่าด้วย แล้วทำไมต้องมาลงทุนในประเทศไทย ผลกระทบเหล่านี้ยังต่อเนื่องไปถึงภาคการผลิต การจ้างงาน และกำลังซื้อของคนไทยด้วย ดูแล้วผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจึงหนักแน่นอน
เราเห็นว่า “ทีมไทยแลนด์” จะรอช้าอีกต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะคู่แข่งที่สำคัญอย่างเวียดนามได้อัตราภาษีที่ถูกกว่าเราไปเกือบครึ่ง ...เชื่อว่าตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา ทีมไทยแลนด์ ทำการบ้านอย่างหนัก คงทราบดีว่าสิ่งที่สหรัฐต้องการมีอะไรบ้าง เราหวังว่า “ไทย” จะได้ดีลที่ดีที่สุด แม้จะไม่ “วิน-วิน” อย่างที่รัฐบาลตั้งใจไว้ แต่อย่างน้อยไม่ถูกเอาเปรียบมากจนเกินไป ที่สำคัญต้องเร่งให้ทุกอย่างเกิดความชัดเจนอย่างเร็วที่สุด เพราะต้องไม่ลืมว่า สุดท้ายแล้วนักลงทุนชอบความชัดเจนมากที่สุด!
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 9 กรกฏาคม 2568