หมื่น-แสนล้านรับมือ "ภาษีทรัมป์" ท่ามกลางศึกเจรจาที่ไม่รู้จบ?
การประกาศเรียกเก็บภาษีศุลกากรจากสหรัฐอเมริกาในอัตรา 36% ที่จะเริ่มต้นในวันที่ 1 สิงหาคม 2025 ได้สร้างความท้าทายครั้งสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะภาคการส่งออกและเกษตรกร
คำถามสำคัญที่ถูกตั้งขึ้นคือ รัฐบาลไทยจะใช้กลไกงบประมาณอย่างไรและต้องงบประมาณไว้จำนวนเท่าไหร่ถึงจะเพียงพอในการเพื่อรับมือกับวิกฤติ โดยไม่มีการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ใหม่แต่จะพึ่งพากลไกการบริหารจัดการภายใน เพื่อปรับใช้เม็ดเงินที่มีอยู่รับมือสถานการณ์
เนื่องจากการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ได้ผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี และกำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของฝ่ายนิติบัญญัติแล้ว การจัดทำงบประมาณใหม่ทั้งฉบับเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและใช้เวลานานมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากต้องเริ่มต้นจากการทบทวนแผนการคลังระยะปานกลาง และจัดทำสมมุติฐานทางเศรษฐกิจ รวมถึงประมาณการจัดเก็บรายได้ใหม่ ซึ่งคาดว่างบประมาณใหม่จะมีวงเงินน้อยกว่ากรอบเดิมที่ 3.78 ล้านล้านบาท เนื่องจากตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจและการจัดเก็บรายได้ที่ลดลง
รัฐบาลพยายามสื่อสารแสดงความเชื่อมั่นว่ากลไกการจัดสรรและการใช้งบประมาณมีความยืดหยุ่นในตัวเองสามารถบริหารจัดการงบประมาณได้ ปรับเปลี่ยน ตัดลดงบประมาณบางส่วนของหน่วยงานที่ไม่จำเป็น จะถูกนำมาจัดสรรเป็นโครงการเพื่อรองรับวิกฤติและช่วยเหลือผู้ประกอบการและเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ได้โดยมีงบประมาณรายการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เหลืออยู่อีกประมาณ 4.7 หมื่นล้านบาท เมื่อรวมกับงบกระตุ้นเศรษฐกิจในส่วนที่รัฐบาลได้อนุมัติไปก่อนหน้านี้เพื่อลดผลกระทบภาคการส่งออก เพิ่มผลิตภาพ และดิจิทัล วงเงินรวม 11,122 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลมีงบประมาณที่พร้อมใช้ในการลดผลกระทบจากการเก็บภาษีเพิ่มของสหรัฐฯ รวมทั้งสิ้น 58,122 ล้านบาท
ขณะที่ปีนี้รัฐบาลมีงบประมาณที่พร้อมใช้ในการลดผลกระทบจากการเก็บภาษีเพิ่มของสหรัฐฯ รวมทั้งสิ้น 58,122 ล้านบาท ส่วนปีหน้าคาดว่าตัวเลขก็จะใกล้เคียงกัน การแปรปรับลดงบประมาณมาเพื่อใช้ในการรับมือภาษีทรัมป์ อาจจะต้องมีการระดมในรูปอื่นๆที่ไม่ใช่งบประมาณจากภาครัฐเพียงอย่างเดียว อย่างไรเสียเชื่อว่าเมื่อถึงเวลานั้น “รัฐบาล” จะมีทางออกที่ดีและมีวิธีที่จัดการวิกฤตินี้ได้หรือไม่ท่ามกลางการเจรจาที่ยังไม่รู้ว่าจะจบลงได้เมื่อไหร่
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีเม็ดเงินสำรองและกลไกการปรับงบประมาณที่ยืดหยุ่น การพึ่งพากลไกทางการเงินเพียงอย่างเดียวอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย ท่ามกลางการเจรจาระหว่างไทยและสหรัฐฯ ที่กำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น คำถามคือทีมเจรจาของไทยจะสามารถเจรจาให้อัตราภาษีใหม่ต่ำกว่า 36% ได้หรือไม่ และมุ่งสู่การเจรจาแบบ “วิน-วิน” เพื่อไม่ให้กระทบกับผู้ประกอบการและเกษตรกรไทยมากเกินไปได้อย่างไร รวมทั้งรัฐบาลจะเตรียมงบประมาณเพื่อเตรียมพร้อมช่วยเหลือภาคเอกชนไว้เท่าไหร่ถึงจะเพียงพอ เพราะมีการประเมินความเสียหายเป็นหลักแสนถึงสองแสนล้าน
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 10 กรกฏาคม 2568