เจรจาภาษี "ทรัมป์" เดิมพันเศรษฐกิจไทย
การเจรจาทางการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐที่ดำเนินมายาวนานกว่า 100 วัน นับเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของเศรษฐกิจไทย ข้อเสนอฝ่ายไทย ภายใต้การนำของ "นายพิชัย ชุณหวชิร" รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง อาจยังไม่ค่อยโดนใจแฟนคลับสักเท่าไหร่
แม้ว่า “ทีมไทยแลนด์” ที่จะไปเจรจาหลังจากนี้ จะพยายามสะท้อนภาพของการรักษาสมดุลแห่งผลประโยชน์ ทั้งในมิติการเปิดตลาดสินค้าเพิ่มเติมให้สหรัฐ เช่น ลำไย ปลานิล และแม้แต่รถยนต์พวงมาลัยซ้ายก็ตาม
การยินยอมเปิดตลาดอย่างมีเงื่อนไข เช่น การนำเข้าเฉพาะสินค้าที่ไทยผลิตไม่พอ หรือไม่ได้ผลิตเลย อาจเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์การเจรจาครั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยง “กำแพงภาษี” ที่อาจสร้างความเสียหายอย่างหนักให้อุตสาหกรรมส่งออกของไทย ขณะเดียวกัน รัฐบาลไทยยังมีความพยายาม ที่จะวางหมากในเกมเศรษฐกิจระยะยาว ด้วยการเสนอสนับสนุนให้ธุรกิจไทยลงทุนในสหรัฐมากขึ้น โดยเฉพาะในสาขาที่เกี่ยวข้องกับเกษตรแปรรูปและพลังงาน เพื่อตอบโจทย์ยุทธศาสตร์การสร้างฐานการผลิตในประเทศของสหรัฐ และแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เชิงโครงสร้าง
นอกจากนี้ การที่สหรัฐ เสนอเพิ่มสัดส่วนการผลิตภายในประเทศ (Local Content) เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์ทางการค้า หากมองอีกมุม อาจกลายเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยในการเร่งพัฒนาซัพพลายเชนภายในประเทศ และลดพึ่งพาการนำเข้าในอนาคต แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่วันนี้พรุ่งนี้จะสามารถทำได้ในทันที ทุกอย่างต้องใช้เวลา แต่โจทย์ใหญ่ของรัฐบาลคือ การรับมือผลกระทบระยะสั้น โดยเฉพาะต่อภาคเกษตรและ เอสเอ็มอี ซึ่งเปราะบางต่อความผันผวนของต้นทุนและตลาด จำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างเร่งด่วน
รัฐบาล บอกว่าจะเตรียมซอฟต์โลนวงเงิน 2 แสนล้านบาท และการชดเชยดอกเบี้ยไว้ช่วยเสริมสภาพคล่องเป็นการเยียวยา หากการเจรจาตกอยู่ในบริบทที่เลวร้ายสุดๆ ก็ควรถูกเร่งผลักดันสู่ภาคปฏิบัติอย่างจริงจัง การพึ่งพาแค่กลไกการเจรจาในเวทีระหว่างประเทศไม่เพียงพอ หากไม่มีมาตรการรองรับความเปราะบางในภาคประชาชนและธุรกิจภายในประเทศอย่างเป็นรูปธรรม
ท้ายที่สุด การเจรจาภาษีครั้งนี้ สะท้อนถึงทิศทางยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไทย ในยุคภูมิรัฐศาสตร์ใหม่ รัฐบาลไทยต้องเดินเกมอย่างระมัดระวัง หลีกเลี่ยงการถูกลากเข้าไปในสมรภูมิขั้วอำนาจ และรักษา “พื้นที่ตรงกลาง” ไว้อย่างชาญฉลาด การได้ประโยชน์ทุกอย่าง โดยไม่สูญเสียอะไรเลย อาจเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าบริหารความเสี่ยงให้รอบด้าน ครั้งนี้ไทยอาจเปลี่ยน ‘วิกฤติ’ ในเวทีเจรจาให้กลายเป็น ‘โอกาส’ แห่งการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ ที่เราต้องเผชิญในโลกที่จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 15 กรกฏาคม 2568