แบงก์จีนเท "ดอลลาร์" ดัน "หยวน" ครองตลาดเงินกู้เอเชีย ท้าทายบทบาทสหรัฐฯ
ธนาคารจีนลดปล่อยกู้ดอลลาร์ในเอเชีย หันใช้หยวนมากขึ้น ดันต้นทุนต่ำ-ท้าทายอิทธิพลการเงินสหรัฐฯ สะท้อนการเปลี่ยนสมการเศรษฐกิจโลกหลังยุคโควิด
ในขณะที่โลกกำลังเผชิญความผันผวนของเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ “เงินหยวน” ของจีนก็กำลังค่อยๆ สยายปีกขึ้นเป็นสกุลเงินที่ทรงอิทธิพลมากขึ้นในตลาดสินเชื่อข้ามพรมแดน โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตลาดเกิดใหม่ เมื่อธนาคารจีนลดการปล่อยสินเชื่อในสกุลเงินดอลลาร์ลงอย่างชัดเจนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่อาจเขย่าสมดุลเดิมของระบบการเงินโลก
รายงานล่าสุดจากสำนักข่าวนิกเกอิเอเชีย ซึ่งอ้างอิงผลการศึกษาของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่เผยแพร่เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ระบุว่า ระหว่างไตรมาสแรกของปี 2565 ถึงไตรมาสที่สองของปี 2567 สัดส่วนสินเชื่อที่ปล่อยออกไปเป็นสกุลเงินดอลลาร์จากธนาคารจีนลดลงถึง 16% โดยในปี 2560 สินเชื่อที่ปล่อยโดยธนาคารจีนมากถึง 65% เป็นสกุลดอลลาร์ แต่ตัวเลขนี้ลดลงต่อเนื่องจนเหลือเพียง 50% ภายในกลางปี 2567 ขณะที่การปล่อยกู้ในสกุลเงินหยวนกลับเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
แนวโน้มนี้แตกต่างจากธนาคารที่ไม่ใช่ของจีน ซึ่งยังคงมีสัดส่วนการปล่อยกู้ในดอลลาร์ทรงตัวอยู่ที่ราว 46% ตลอดช่วงเวลาเดียวกัน สะท้อนให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ได้มาจากปัจจัยตลาดเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลจากนโยบายเชิงรุกของจีนที่ต้องการผลักดันเงินหยวนให้กลายเป็นทางเลือกหลักในการทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศ
ต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ธนาคารจีนเลือกเบนเข็มจากดอลลาร์มาสู่หยวน คือ “ต้นทุนทางการเงิน” ที่ถูกกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ท่ามกลางการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยขาขึ้นของสหรัฐฯ นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565 ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ได้ทยอยขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ จนแตะระดับสูงถึง 4.25-4.5% ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนของเงินดอลลาร์ในการปล่อยสินเชื่อสูงขึ้นตามไปด้วย
ในทางกลับกัน ธนาคารกลางจีนกลับเดินหมากตรงกันข้าม ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ชั้นดี (Loan Prime Rate) ระยะ 1 ปี ลงอย่างต่อเนื่อง จาก 3.8% ในเดือนมกราคม 2565 เหลือเพียง 3% ในเดือนพฤษภาคมปีนี้ ความต่างของดอกเบี้ยใน 2 ประเทศกลายเป็นช่องว่างที่เปิดโอกาสให้ “หยวน” กลายเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ามากกว่า ทั้งสำหรับผู้กู้และผู้ปล่อยกู้
เมื่อมองไปยังระดับมหภาค ข้อมูลจากธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) ณ เดือนกันยายน 2567 เผยว่า 23% ของสินเชื่อต่างประเทศจากธนาคารจีนทั้งหมดพุ่งเป้าไปที่ประเทศเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะในช่วงหลังการระบาดของโควิด-19 ที่การค้าโลกซบเซา การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) กลับกลายมาเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของการให้สินเชื่อข้ามพรมแดนของจีน ซึ่งแตกต่างจากยุคก่อนโควิดที่การค้าเป็นตัวนำ
ข้อมูลจากทางการจีนยังแสดงให้เห็นว่าในปีที่ผ่านมา มูลค่าสินเชื่อข้ามพรมแดนที่ใช้สกุลเงินหยวนพุ่งแตะ 20.4 ล้านล้านหยวน หรือประมาณ 2.84 ล้านล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นมากกว่าหนึ่งเท่าตัวจากปี 2565 ซึ่งสะท้อนถึงความสำเร็จในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศคู่ค้าทางการเงิน
แม้จะยังไม่มีการประกาศนโยบายอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลปักกิ่งในการท้าทายสถานะของดอลลาร์ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็ชี้ให้เห็นว่า “เกมกำลังเปลี่ยน” และจีนเองก็ไม่ได้เล่นบทตัวประกอบอีกต่อไป นักวิเคราะห์หลายคนมองว่าแรงหนุนหนึ่งที่ทำให้เงินหยวนเริ่มมีบทบาทมากขึ้น คือความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ในช่วงยุครัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งทำให้ประเทศกำลังพัฒนาบางแห่งเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ที่ไม่ผูกติดกับดอลลาร์มากเกินไป
แม้ว่าจะมีการคาดการณ์ว่า Fed อาจเริ่มปรับลดดอกเบี้ยในช่วงปลายปีนี้ แต่การที่ธนาคารจีนเดินหน้าใช้หยวนเป็นเครื่องมือหลักในการปล่อยกู้ข้ามประเทศ ก็ถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า จีนกำลังสร้างระบบการเงินคู่ขนานขึ้นมาอย่างเงียบๆ และค่อยๆ สั่นคลอนบทบาทของสกุลเงินที่เคยเป็นใหญ่ในโลกการเงินมาหลายทศวรรษ
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 21 กรกฏาคม 2568