ทำไมนักท่องเที่ยวจีนถึงไม่มาไทย
ปีนี้นับว่าเป็นปีเผาจริงของเศรษฐกิจไทย เริ่มตั้งแต่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาต้องการขูดรีดทุกประเทศโดยใช้ภาษีต่างตอบแทน ตามด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาไทยไม่เข้าเป้า
และถูกซ้ำเติมจากการเมืองภายในและการเมืองที่ใช้พรมแดนเป็นตัวประกันเพื่อสร้างแรงกดดันเศรษฐกิจชายแดนเพิ่มเติมโดยไม่จำเป็น
ขณะนี้รัฐบาลได้พยายามแก้ไขปัญหาฉุกเฉินด้านการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจโดยใช้ความต้องการภายใน แต่ปรากฏว่าความสามารถทางดิจิทัลของแอปพลิเคชันที่จะรองรับการท่องเที่ยวค่อนข้างต่ำ ล่มตั้งแต่วันแรก
เรามาลองตั้งสติให้มั่นคงแล้ววิเคราะห์ดูว่าเกิดอะไรขึ้น 1) นักท่องเที่ยวจีนมาไทยน้อยลงมาก รัฐบาล รวมทั้งผู้รู้หลายท่านบอกว่าเป็นเพราะเศรษฐกิจจีนซบเซา แต่ความจริงก็คือการท่องเที่ยวในประเทศของจีนเติบโตอย่างวิลิศมาหราโอฬาริก อีกทั้งการท่องเที่ยวต่างประเทศของจีนก็เพิ่มขึ้นเป็น 350 ล้านคนครั้งแล้วเทียบในปี 2562 ซึ่งเป็นปีที่เฟื่องฟูที่สุด นักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวไทยแค่ 10 ล้านคนครั้งเท่านั้น
ซึ่งข้อเท็จจริงก็คือ ญี่ปุ่นได้เข้ามาแทนที่ประเทศไทยในฐานะแหล่งท่องเที่ยวต่างประเทศที่คนจีนต้องการไปเยี่ยมเยือนมากที่สุด ซึ่งคนไทยต้องยอมรับว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความโดดเด่นในด้านแหล่งท่องเที่ยวมากที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง และสูงกว่าไทยมาก เพียงแต่เดิมนั้นญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีค่าครองชีพสูง การท่องเที่ยวในญี่ปุ่นมีค่าใช้จ่ายต่อวันที่สูงกว่าประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทยมาก และธุรกิจญี่ปุ่นไม่ค่อยสนใจกับการทำตลาดต่างประเทศ
ดังนั้น เราจึงไม่ใช่คู่แข่งของกันและกัน แต่ในปัจจุบันค่าเงินบาทแข็งขึ้นมาก ในขณะที่ค่าเงินเยนกลับอ่อนลงทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นในโลกดิจิทัลที่การไหลของข่าวสารต่าง ๆ และความง่ายในการแปลภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาต่างประเทศก็ค่อนข้างง่าย การท่องเที่ยวโดยการขับรถยนต์เที่ยวกันเองในประเทศญี่ปุ่นสำหรับชาวต่างประเทศก็เป็นเรื่องสะดวกและง่ายขึ้นมาก การเดินทางโดยรถไฟก็มีความสะดวกสูงสุด
ที่จริงแล้วผู้เขียนไม่เห็นว่าญี่ปุ่นคือคู่แข่งของประเทศไทยในเอเซีย เพราะถ้าดูองค์ประกอบด้านการท่องเที่ยวทุกองค์ประกอบเราไม่มีทางสู้ญี่ปุ่นหรือเป็นคู่แข่งได้เลย ทั้งด้านธรรมชาติและวัฒนธรรม ความสะอาด การต้อนรับขับสู้ และแหล่งที่ตั้งซึ่งก็ใกล้จีน เกาหลีใต้ และ อเมริกาเหนือมากกว่าไทย สายการบินต่าง ๆ โดยเฉพาะสายการบินจากจีนก็มีแรงจูงใจที่จะเป็นไปญี่ปุ่น เพราะทำกำไรได้มากกว่าที่จะบินมาไทย
ทีนี้หันมามองตัวเราเองบ้าง เมื่อโควิด 19 สงบลงการท่องเที่ยวก็เริ่มฟื้นตัวขึ้น แต่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ฟื้นตัวช้ามาก ส่วนหนึ่งก็เพราะรัฐบาลอนุรักษ์นิยมของเราขยับตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ในช่วงโควิด 19 มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีดิจิทัลได้เข้ามามีส่วนร่วมในการผลักดันเศรษฐกิจและธุรกิจในภาคต่าง ๆ ให้เปลี่ยนแปลงไป
โควิด 19 ทำให้ธรรมชาติของเราฟื้นตัวคืนมาแต่เราไม่ได้ใช้เวลาดังกล่าวในการปรับโครงสร้างซัพพลายด้านอื่น ๆ การท่องเที่ยวไทยให้มีความสะดวก ปลอดภัย ทันสมัย ยั่งยืน เช่น ระบบโลจิสติกส์สำหรับเมืองท่องเที่ยวรองหรือเดี๋ยวนี้เราเรียกว่าเมืองน่าเที่ยวนั้นเรียกว่าใช้ไม่ได้เลยสำหรับนักท่องเที่ยวจีนซึ่งต้องใช้รถบริการสาธารณะ
เรายังคงขายการท่องเที่ยวอย่างเดิม ๆ โดยมุ่งเน้นการโฆษณาของ ททท. เป็นหลัก และละเลยการจัดการทางด้านซัพพลายตลอดห่วงโซ่การผลิต เราสนใจแต่การจัดการดีมานด์หรือดีมานด์เพราะโปรโมชั่นมากกว่าการจัดการซัพพลาย สินค้าท่องเที่ยวของเราในปัจจุบันยังก็ไม่สะท้อนจิตสำนึกด้านอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ปัญหาด้านความปลอดภัยการท่องเที่ยวไทยเริ่มในปี 2561 เมื่อเรือท่องเที่ยวฟีนิกซ์ล่มและคนจีนตายไป 40 คน ในคราวนั้นคนจีนเริ่มได้ความรู้ความรู้สึกว่า ไทยไม่มีระบบรักษาความปลอดภัยทางน้ำที่ดีทั้ง ๆ ที่ท่องเที่ยวทะเลเป็นแหล่งท่องเที่ยวโดดเด่นของไทย แต่หลังจากนั้นปัญหาความปลอดภัยก็เริ่มเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ซาก ๆ ปัญหาเรื่องลักพาตัวเรียกค่าไถ่ จีนเทามาตั้งแก๊งค์หลอกลวงและฆ่าคนจีนในประเทศไทย
นอกจากนั้นการหลอกลวงเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย เช่น ค่าแท็กซี่แพง สินค้าและอาหารราคาแพงในแหล่งท่องเที่ยวทำให้ข่าวเหล่านี้กระจายไปในโซเชียลมีเดีย จนทำให้คนจีนรู้สึกไม่ปลอดภัยที่จะมาประเทศไทย ในโลกยุคใหม่ นักท่องเที่ยวไม่ได้รับข่าวสารจากการโปรโมทด้านการตลาดเท่านั้น แต่สื่อโซเชียลมีเดียกลายเป็นสื่อที่มีความสำคัญมาก เพราะสามารถชักชวนกันต่อ ๆ ไป ภาพลักษณ์ของประเทศท่องเที่ยวจึงไม่ได้มาจากสื่อโฆษณาอย่างเดียว
นอกจากนี้ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาจีนพัฒนาอย่างมาก นักท่องเที่ยวจีนที่เคยเห็นไทยว่าเป็นเมืองทันสมัย อารยะในช่วงต้น ๆ ของการมาเที่ยวไทย เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในประเทศของตนที่เร็วกว่า สะดวกกว่า สวยกว่า ทันสมัยกว่า แรงกว่าในทุกห่วงโซ่การผลิต และมาบวกกับข่าวในโซเชียลมีเดีย ประเทศไทยก็ดูเหมือนไม่ใช่ประเทศอารยะอีกต่อไป
ถึงเวลาแล้วที่ไทยต้องมาพัฒนาซัพพลายตลอดห่วงโซ่การผลิตให้เห็นความสะดวกและปลอดภัย กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่สวยงามแต่ก็ยังต้องแก้ไขปัญหาเรื่องกลิ่นของเมืองซึ่งมาจากท่อน้ำครำ เมืองรองต่าง ๆ ถ้าไม่มีศูนย์การค้าขนาดใหญ่แล้วก็แทบจะหาห้องน้ำเข้าไม่ได้ ลงจากสถานีรถไฟแล้วก็ไม่มีรถสาธารณะที่จะเดินทางต่อไปได้
สำหรับนักท่องเที่ยวไทยไม่มีปัญหาเพราะรู้ว่าต้องเช่ารถตู้ไปหากจะไปเที่ยวเมืองรอง แต่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาแบบอิสระนั้นไม่สามารถเช่ารถตู้ทั้งคันได้ แต่ก็ไม่มีคำแนะนำว่าในจังหวัดต่าง ๆ จะใช้รถตู้หรือใช้แอปเรียกรถอะไรได้บ้าง ขยะจำนวนมากมายที่มาตามชายหาด ในเมือง และแหล่งท่องเที่ยว ดังนั้น หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวก็ต้องปฏิรูปตัวเองตลอดห่วงโซ่การผลิตเหมือนกัน
การพัฒนาห่วงโซ่การผลิตน่าจะเลือกเมืองน่าเที่ยวนำร่องมาซัก 10 เมืองมาพัฒนาให้เป็นจริงเป็นจัง เช่นลำปางมีแหล่งท่องเที่ยวมากกว่าน่านเสียอีก ในอีสานก็มีอุดรธานีในเดือนมกราคมเมื่อดอกบัวแดงบานก็น่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวมาก อุบลราชธานีก็เป็นเมืองที่สวยงาม ส่วนพัทลุงมีทะเลน้อยซึ่งเป็นพื้นที่ชุมน้ำที่สวยงาม แต่วิธีการไปขึ้นเรือและลงเรือนั้น ก็ยังไม่มีความปลอดภัยมากนัก และอย่าไปหาห้องน้ำที่สะอาดในเมืองรองเช่นเดียวกับญี่ปุ่น และหากต้องไปเที่ยวหลาย ๆ ชั่วโมงเพราะมีแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจมากก็ไม่รู้จะไปเข้าห้องน้ำที่ไหน
ในท่องเที่ยวเมืองรอง ยังขาดการลงทุนของเอกชนในด้านการท่องเที่ยวอีกมาก ควรมีการส่งเสริมการลงทุนในโรงแรมขนาดกลาง อุดหนุนและส่งเสริมให้ร้านสะดวกซื้อมีห้องน้ำสาธารณะ รวมทั้งให้ AI ทำเส้นทางท่องเที่ยวแบบ experience tourism ที่มีข้อมูลด้านโลจิสติกส์และรถเช่าระดับจังหวัด
การพัฒนาการท่องเที่ยวเน้นการพัฒนาชุมชนในพื้นที่ที่เล็กเกินไป การที่จะให้เมืองเที่ยวเติบโตได้ต้องเน้นการทำงานร่วมกับ อปท. เช่นเทศบาล เน้นที่ตัวเมืองก่อนให้เมืองมีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแรงจะรองรับการท่องเที่ยวรอบ ๆ และให้มีที่ท่องเที่ยวในเมืองในเวลากลางคืนจึงจะสามารถที่จะทำให้การท่องเที่ยวเมืองรอง Takeoff ได้
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 31 กรกฏาคม 2568