เอกชนชี้ไทยมีปัญหาเพียบรอแก้ ความมั่นคง-เศรษฐกิจ-ภาษีทรัมป์
ส.อ.ท. ระบุประเทศไทยมีปัญหาหลายเรื่องที่ต้องเร่งแก้ไข ทั้งความมั่นคงชายแดนไทย-กัมพูชา ภาษีนเข้าจากสหรัฐ การกระตุ้นเศรษฐกิจ ระบุต้องการเห็นการเมืองมีเสถียรภาพ
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดตัดสินคดีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมวันที่ 29 ส.ค. 68 ว่า ไม่ขอแสดงความเห็นในเรื่องดังกล่าว
ทั้งนี้ โดยหลักการแล้วเนื่องจากประเทศไทยเวลานี้มีปัญหาหลายเรื่องที่ต้องเร่งดำเนินการแก้ไขทั้งเรื่องความมั่นคงจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งยังอยู่ในช่วงตรึงเครียด แม้จะคลี่คลายไปได้ระดับหนึ่ง
ขณะที่ประเด็นเรื่องการถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐอเมริกาตามนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ แม้ว่าจะมีการประกาศตัวเลขอย่างเป็นทางการว่าไทยต้องเสียภาษีที่ระดับ 19% แต่ก็ยังคงเป็นแค่กรอบ ยังมีรายละเอียดเรื่องสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศ หรือโลคอลคอนเท้นต์ (Local content)
รวมถึงประเด็นเรื่องสินค้าต้นทางจากประเทศอื่น และถูกส่งมายังประเทศไทยเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งไปยังสหรัฐ (Transshipment) และสินค้าเกษตรที่ยังต้องคุยในรายละเอียดว่าจะมีแนวทางอย่างไร
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ปัจจุบันต้องรอให้สภาผู้แทนราษฎรผ่านความเห็นชอบงบประมาณรายจ่าย โดยเอกชนมองว่าครึ่งปีแรกที่ผ่านมา การส่งออกสามารถทำได้ดีขยายตัวเป็นบวกได้ถึง 15% แต่ข้อเท็จจริงมาจากการที่ผู้นำเข้าสหรัฐเร่งคำสั่งซื้อช่วงที่ไทยได้รับการผ่อนคลายภาษีนำเข้าอยู่ที่ 10% เพื่อกักตุนสินค้า
อย่างไรก็ดี เชื่อว่าครึ่งปีหลังการส่งออกอาจจะชะลอลงจากคำสั่งซื้อล่วงหน้าดังกล่าว อีกทั้งยังมีเรื่องการท่องเที่ยวที่ต้องช่วยกันหาแนวทางว่าจะทำอย่างไรให้สามารถรักษาจำนวนนักท่องเที่ยวให้เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้
นายเกรียงไกร กล่าวต่อไปว่า จากปัจจัยดังกล่าว การเมืองควรที่จะต้องมีเสถียรภาพ มีความนิ่งไม่มีกระเพื่อม และมีความต่อเนื่องในการดำเนินการเรื่องต่างๆ เพราะภารกิจหากต้องเริ่มต้นใหม่จะเกิดความวุ่นวาย จะขาดตอน และจะเสียประโยชน์ ซึ่งจะยิ่งทำให้เศรษฐกิจทรุดตัวลงมากขึ้น
อีกทั้งเอกชนมองว่าการมีอะไรเปลี่ยนแปลงในช่วงหัวเลี้ยวหังต่อคงไม่ดีนัก รัฐบาล หรือการเมืองควรมีเสถียรภาพ มีความต่อเนื่อง จะได้มีการแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน มีการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งในครึ่งปีหลังจำเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่งบประมาณก็ต้องรอผ่านสภาฯ หากมีการล้างกระดานเริ่มต้นใหม่ ความต่อเนื่องก็จะสะดุด
“หากการเมืองไม่นิ่ง มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อก็อาจจะทำให้ทุกอย่างหยุดชะงัก ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อการเจรจากับสหรัฐที่ยังมีรายละเอียดอีกมาก เพราะภาษีที่ประกาศเรียกเก็บ 19% นั้นเป็นเพียงแค่กรอบ หากต้องล้มไปหมดเริ่มต้นใหม่ ไม่มีควมต่อเนื่อง อาจจะทำให้เสียหาย และจะทำให้เศรษฐกิจยิ่งทรุดตัวลงไป”
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 14 สิงหาคม 2568