อลังการ "จูราสสิค เวิลด์ เอเชียทีค" เปิดไฮไลท์ผจญภัยไดโนเสาร์ใหญ่สุดในโลก
งานดีสมมงยูนิเวอร์แซล สำหรับ "Jurassic World The Experience Bangkok" หรือ "จูราสสิค เวิลด์ เอเชียทีค" ที่นี่ไม่ใช่สวนสนุก ไม่ใช่แค่เดินดูไดโนเสาร์ แต่เป็นประสบการณ์อิมเมอร์ซีฟระดับโลกที่ไม่เหมือนใคร



ซึ่งจะนำเราก้าวเข้าสู่โลกแห่ง “จูราสสิค เวิลด์” ภาพยนตร์ระดับบล็อกบัสเตอร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ เหมือนย้อนมิติเข้าอยู่ในโลกไดโนเสาร์จริงๆกันเลย
เราปักหมุดกันที่ “เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น” โอโหบนพื้นที่กว่า 6,000 ตรม. ถูกเนรมิตให้เป็นโลกในจักรวาลของภาพยนตร์แฟรนไชส์ระดับโลกอย่าง Jurassic World ซึ่ง Jurassic World The Experience Bangkok จัดว่าใช้พื้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก หรือ จูราสสิคเวิลด์เอเชียทีค
โดยบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น หรือ AWC ได้ทุ่มงบลงทุนกว่า 1,400 ล้านบาท โดยร่วมมือกับ NEON ผู้นำระดับโลกด้านประสบการณ์เสมือนจริงแบบอิมเมอร์ซีฟ และ Universal Destinations and Experiences พัฒนาประสบการณ์ระดับโลกนี้ขึ้นในกรุงเทพฯ อลังการโดโนเสาร์ animatronics ขนาดเท่าของจริง แสง เสียง หมอก เอฟเฟกต์แบบสมจริง ขยับได้ มีเสียงร้อง เหมือนมีชีวิตจริง ๆ เด็ก ๆ ตื่นเต้น ผู้ใหญ่ยังต้องอึ้ง



เรากำลังจะเข้าไปผจญภัยกับเจ้าไดโนเสาร์สัตว์โลกล้านปี แค่เห็นตัวอาคารหน้าทางเข้าก็ปังแล้ว เมื่อได้เห็นเจ้าไดโนเสาร์คอยาวออกมาทักทาย นี่มันแรงดึงดูดชัดๆ การเข้าชมที่นี่จะแบ่งออกเป็นโซน ใช้เวลาราว 60 นาที ตื่นตา ไปพร้อมๆกับการผจญภัย ในกว่า 10 โซน
เปิดไฮไลท์ 10 โซน จูราสสิค เวิลด์ เอเชียทีค
Origins of Wonder ต้นกำเนิดแห่งความมหัศจรรย์ :
ทันทีที่เข้าสู่อาคารก็ว๊าวแล้ว กับการได้ทบทวนเรื่องราวการเกิดขึ้นของไดโนเสาร์ใน Jurassic World ผ่านการจัดแสดงก้อนอาพัน พร้อมคำบรรยายจากตัวละครในตำนานอย่าง มิสเตอร์ ดีเอ็นเอ
ก่อนนั่งเรือเดินทางสู่ “เกาะอิสลา นูบลาร์” เกาะที่ตั้งของสวนสนุกจูราสสิค พาร์ค และ จูราสสิค เวิลด์ ระหว่างเดินทางเราสัมผัสได้ว่ากำลังข้ามมหาสมุทร ยิ่งใกล้ถึงที่หมาย ฝนตก พายุก่อตัว ทั้งต้องเผชิญกับแรงสั่นสะเทือนอย่างไม่คาดคิด แถมยังนำน้ำทะเลสาดมาโดนเราอีก นึกว่าเป็น“โมซาซอรัส”สัตว์ทะเลดึกดำบรรพ์ แต่กลับเป็นวาฬยักษ์ซะงั้น
Arrival at Isla Nublar เดินทางสู่เกาะ อิสลา นูบลาร์ :
หลังก้าวขึ้นเกาะอิสลา นูบลาร์ เสียงร้องคำราม เสียงหวีดร้องแว่วมาแต่ไกล ไม่นานประตูขนาดใหญ่สัญลักษณ์ของ Jurassic World ก็ปรากฏดูน่าเกรงขามคบเพลิงจะถูกจุดขึ้นพร้อมเสียงทำนองอันคุ้นเคยจากซาวนด์แทร็กของ Jurassic World ซึ่งเป็นขณะเดียวกับที่ประตูค่อยๆถูกเปิดออกอย่างช้าๆ

A Close Encounter with Giants เผชิญหน้ากับยักษ์ใหญ่แห่งโลกล้านปี :
ทันทีที่ประตูเปิดออก เหนือยอดไม้สูงเสียดฟ้า เราได้เผชิญหน้ากับแบรคิโอซอรัส (Brachiosaurus)ไดโนเสาร์กินพืชคอยาวใจดี ที่มาพร้อมกับเจ้าแบรคิโอซอรัสตัวเล็ก บอกได้ว่าเหมือนจริงทุกสัมผัส ทั้งขนาด ผิว ไปจนถึงการเคลื่อนไหว เสียงร้อง แสง สี และบรรยากาศโดยรอบ นี่เรากำลังหลุดเข้าไปอยู่ใน จูราสสิค เวิลด์ จริงๆใช่ไหมเนี่ย
แล้วเรายังเห็นเจ้าหน้าที่พิทักษ์อุทยานกำลังให้ใบไม้แก่เจ้าแบรคิโอซอรัสเป็นอาหาร เราสามารถขึ้นไปยังระเบียงชั้น 2 บนหอสังเกตการณ์ เพื่อถ่ายรูปกับเจ้าโดโนเสาร์คอยาว พร้อมชมการให้อาหารได้อย่างใกล้ชิด
The Petting Zoo สัมผัสไดโนเสาร์รุ่นเยาว์ :
เดินต่อไปอีกนิด เราเห็น “แองคิโลซอรัส” (Ankylosaurus) ไดโนเสาร์หุ้มเกราะหลังหนาม ไดโนเสาร์กินพืชมายืนส่ายหัว ส่ายหาง พร้อมส่งเสียงทักทายนักท่องเที่ยวอย่างน่ารัก ระหว่างเจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่ใกล้รถเข็นที่เต็มไปด้วยผักสีเขียวยื่นอาหารจานโปรดให้กับมันอย่างแผ่วเบา เจ้ายักษ์ใหญ่ดีใจนส่ายหางไปมาอย่างกระตือรือร้น


จากนั้นเจ้าหน้าที่ ยังเชิญชวนเราได้เข้าไปร่วมดูแลลูกไดโนเสาร์ “พาราซอโรโลฟัส" (Parasaurolophus) สุดน่ารัก ซุกซน ขี้เล่น สัมผัสความผูกพันอันน่าอัศจรรย์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งมีชีวิตยุคโบราณเหล่านี้อย่างใกล้ชิด
The Predator Pavilion ดินแดนนักล่าดึกดำบรรพ์ :
แล้วบรรยากาศเริ่มตึงเครียด เมื่อก้าวเข้าสู่พื้นที่ของเหล่านักล่าแห่งโลกล้านปี เราได้พบกับเหล่าแรปเตอร์ ไดโนเสาร์นักล่าที่ถูกจับใส่ที่ครอบปาก พวกมันยังคงส่งเสียงคำราม แสดงความไม่สบอารมณ์ ผู้เชี่ยวชาญอธิบายเกี่ยวกับดีเอ็นเอของสัตว์หลากหลายชนิดที่ถูกนำมาใช้ในการตัดแต่งพันธุกรรมของแร็ปเตอร์เหล่านี้ พร้อมชวนให้สังเกตรายละเอียดลวดลายเฉพาะตัวอันโดดเด่นและสวยงามของแรปเตอร์แต่ละตัว
ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังค่อยๆ นำแร็ปเตอร์กลับเข้าคอกอย่างระมัดระวัง หนึ่งในพวกมันกลับปรากฎตัวแยกออกมาอย่างโดดเด่น นั่นก็คือ เจ้า “บลู” ” เวโลซิแรปเตอร์ ที่ปรากฏครั้งแรกใน Jurassic World 2015 ถือเป็นแรปเตอร์ดาวดังตัวพิเศษที่ “โอเวน เกรดี้” (พระเอกคนหนึ่งของจักรวาลหนัง Jurassic แสดงโดย คริส แพร็ตต์) สามารถฝึกฝนได้จนเชื่อฟัง
งานนี้เจ้าหน้าที่จะสาธิตการฝึกบลู พร้อมเชิญชวนอาสาสมัครนักท่องเที่ยวไปร่วมใช้คำสั่งฝึกบลูด้วยกันอย่างสนุกสนาน นี่คือโอกาสพิเศษในการเผชิญหน้ากับเวโลซี แร็ปเตอร์ผู้เฉลียวฉลาดและภักดีสุดหัวใจ เจ้าของสายตาเฉี่ยวคมที่ทั้งน่าหลงใหลและน่าสะพรึงกลัวในขณะเดียวกัน
The Observation Deck หอสังเกตการณ์ :
จากนั้นเมื่อเราเดินทางมาถึงหอสังเกตการณ์ หลังจบการชมวิดีโอข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับไดโนเสาร์ ปรากฏว่า “อินโดไมนัส เร็กซ์” (Indominus rex) ไดโนเสาร์ตัดต่อพันธุกรรม ที่กำลังพรางตัวหลบซ่อนอยู่ในป่าดงดิบหนาทึบ ก็โผล่ออกมาคำรามจนทำให้พื้นสั่นสะเทือน
ทันใดนั้น เสียงระเบิดก็เกิดขึ้น ส่งผลให้ระบบพลังงานและความปลอดภัยทั่วทั้งอุทยานล้มเหลว อินโดไมนัส เร็กซ์ เริ่มโจมตีหอสังเกตการณ์



ในขณะที่มันเหวี่ยงกรงเล็บอีกครั้ง การปรากฏตัวของเจ้า “คาร์โนทอรัส” (Carnotaurus) ก็ได้เบนความสนใจของมันออกไป ไดโนเสาร์ทั้ง 2 ตัวปะทะกันอย่างรุนแรง สุดท้ายโครงสร้างอาคารก็พังทลายลง เนื่องจากโดนแรงกระแทกจากการต่อสู้ภายนอก เจ้าหน้าที่รีบพาเราหนีออกไปยังทางออกฉุกเฉิน
A Fight for Survival ผจญภัยเพื่อเอาชีวิตรอด :
แล้วเสียงสัญญาณเตือนดังกึกก้องทั่วผืน ในขณะที่เจ้าหน้าที่นำเรากำลังเดินลัดเลาะผ่านช่องทางซ่อมบำรุงแคบ ๆ โกดังขนาดใหญ่ เราได้ยินเสียงคำรามอันทรงพลังสะท้อนไปทั่วทางเดิน จนรู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงสันหลัง ก่อนที่ คาร์โนทอรัส จะพุ่งเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัวจนต้องวิ่งหนีเอาตัวรอด
Lost in the Jungle หลงในป่าดงดิบ :
ลัดเลาะเอาชีวิตรอดจนมาสู่ใจกลางป่าดงดิบอันมืดมิด เต็มไปด้วยเสียงของสัตว์ป่าที่ดังขึ้นเรื่อยๆ เราพบเศษซากจากอดีตกับป้าย Jurassic Park ที่หลงเหลืออยู่ และรถจี๊ปเก่าตั้งแต่ยุคจูราสสิก พาร์ค จอดทิ้งถูกเถาวัลย์ปกคลุมจนเกือบมิด ความเงียบอันน่าขนลุกปกคลุมไปทั่วผืนป่า
ทันใดนั้น เสียงหวีดร้อง “จิ๊บๆ” แหลมสูงชวนขนลุกก็ดังแทรกขึ้นมาท่ามกลางความมืด แล้ว “ไดโลโฟซอรัส” (Dilophosaurus) ก็โผล่ออกมา พร้อมกับเสียงกรีดร้องชวนขนหัวลุก และแผงคอสีสันสดใสที่กางออกเสมือนงูแผ่แม่เบี้ย กำลังพ่นพิษไปยังต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆ
Caged Up กรงปริศนา :
ระหว่างหนีเราเข้าสู่โดมสัตว์ปีกยุคดึกดำบรรพ์ “เทอราโนดอน” (Pteranodon) กรงเล็บจับลูกกรงแน่น จงอยปากเฉียดขอบแผงกั้นห่างไปเพียงไม่กี่นิ้ว ตื่นตะลึงกับปีกขนาดใหญ่มหึมา
จากนั้นยังเห็นซากรถบรรทุกที่จอดพังอยู่บริเวณแล็ปกลางทุ่ง “สไตกิโมล็อก” (Stygimoloch) โผล่ออกมา ยืนจ้องมองผู้มาเยือนด้วยความอยากรู้อยากเห็น ก่อนพ่นลมหายใจเสียงแหลมใส่ก็น่ารักดี
แต่ด้วยเสียงคำรามของ ทีเร็กซ์ ที่ดังขึ้นใกล้ๆ ก็ทำให้ทุกคนรีบวิ่งหนีเข้าไปหลบภัยในห้องแล็ปวิจัยภาคสนามทันที
The Final Escape การหลบหนีครั้งสุดท้าย :
ห้องวิจัยที่ดูปลอดภัยทำให้เรารู้สึกขนลุกเล็กน้อยเมื่อเห็นไข่ไดโนเสาร์ ที่ยังเต้นตุบๆกับ ตู้นอนของ “พาราซอโรโลฟัส” ตัวน้อยแรกเกิดนอนหลับปุ๋ยตาพริ้ม และหน้าจอแสดงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และลำดับพันธุกรรม
เมื่อออกจากห้องวิจัย เราพบว่ากลับมาอยู่ในป่าอีกครั้ง เสียงคำรามของ “ทีเร็กซ์” ดังอยู่ใกล้ ๆ เราเหลือบเห็น"ไจโรสเฟียร์" ที่พังอยู่
แล้วทีเร็กซ์ก็พุ่งกระโจนเข้าหาเราอย่างรวดเร็ว ส่งเสียงคำรามกึกก้องไปทั่วป่าทุกคนแตกตื่นวิ่งหนี
ในขณะที่เจ้าหน้าที่พยายามกดรหัสแป้นควบคุมอย่างลนลาน ในที่สุดก็เปิดประตูนำเราเข้าสู่พื้นที่ปลอดภัยได้ทันเวลาอย่างหวุดหวิด
ที่นี่นอกจากเราจะสัมผัสท่องโลกจูราสสิค ผ่านไดโนเสาร์แอนิเมทรอนิกส์เสมือนจริง และฉากจำลองที่ได้แรงบันดาลใจจากฉากดังในภาพยนตร์แล้ว ยังมีโซนจำหน่ายสินค้าที่ระลึกธีมจูราสสิค บางไอเท็มที่ขายเฉพาะที่นี่
เที่ยวจนหิวก็แวะไปทานอาหารกันได้ที่ " Fossil & Flame" ร้านอาหาร ธีม Jurassic World ที่แรกของโลกที่อยู่นอกธีมปาร์ก นำเสนอเมนูอาหารที่ได้แรงบันดาลใจจากจักรวาลหนัง Jurassic World


เมนูไฮไลต์ อาทิ Tree Top Nacho Tower หอคอยนาโช่กรอบท็อปด้วยชีสและซัลซ่า, Volcano Extreme, Rack of Bones Mesquite Baby Back Pork Ribs โครงหมูอ่อนย่างซอสเมสกีตสไตล์เท็กซัส ฯลฯ ลิฟต์ก่อนขึ้นร้านจะมีน้ำตก 4D สวยงาม หน้าร้านมีน้อง Velociraptor โชว์อยู่ด้วย
ไหนๆมาแล้วก็เที่ยวต่อกันที่ “Hatch Dome” โดมขนาดใหญ่ที่จัดแสดงงานต่างๆ เช่น Fossil Park ที่จัดแสดงฟอสซิลจริงและแบบจำลองไดโนเสาร์ที่ค้นพบในประเทศไทย เช่น ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน, Snake Garden
“Better World, Better Future” นิทรรศการ 4D ด้านความยั่งยืน และพื้นที่การเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมของโลกในระบบ Liminal Space 4D ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย
จูราสสิคเวิล์ดที่นี่ เปิดให้เข้าชมได้ตั้งแต่เวลา 11:00 - 22:00 น. (เข้าชมรอบสุดท้ายเวลา 21:00 น.) ราคาบัตรวันธรรมดา (ก่อน 16:00 น.) 579 บาท สำหรับเด็ก (อายุ 3-10 ปี) 769 บาท สำหรับผู้ใหญ่ (อายุ 11 ปีขึ้นไป) วันธรรมดาหลัง 16:00 น. ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์789 บาท สำหรับเด็ก (อายุ 3–10 ปี) 989 บาท สำหรับผู้ใหญ่ (อายุ 11 ปีขึ้นไป)

บอกเลยว่าทำถึงมาก และการเที่ยวส่วนใหญ่เป็นพื้นที่อินดอว์ ไม่ร้อนแถมยังได้ฟีลตื่นเต้นเหมาะกับการพาครอบครัวไปสัมผัสประสบการณ์ใหม่ระดับโลกที่ไม่เคยมีมาก่อนในไทยนั่นเอง
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 17 สิงหาคม 2568