สศช.เตือนอย่าวางใจ "ภาษีสหรัฐฯ" ส่งออกครึ่งปีหลังรอรับผลกระทบ
สศช.เตือนอย่าเพิ่งวางใจ "ภาษีสหรัฐฯ" 19% แค่ก๊อกแรก จับตาความเสี่ยงรายสินค้าเฉพาะเจาะจง กลุ่มยานยนต์-ชิ้นส่วน เหล็ก-อะลูมิเนียม ทองแดง โซลาร์เซลล์ สะเทือนส่งออกครึ่งปีหลังกระทบหนัก
วันนี้ (18 สิงหาคม 2568) นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยถึงแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2568 ว่า แม้สหรัฐอเมริกาจะประกาศขึ้น ภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariffs) กับสินค้านำเข้าทั่วไปจากไทยในอัตรา 19% ออกมาแล้ว และเป็นอัตราที่อยู่ในระดับเดียวกับกลุ่มประเทศอาเซียนหลายประเทศ
แต่ก็ยังมีความเสี่ยงใน รายสินค้าเฉพาะเจาะจง (Specific tariffs) ที่ถูกประกาศอัตราภาษีออกมาก่อนหน้านี้ ทั้งสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียม รถยนต์และชิ้นส่วน ผลิตภัณฑ์พลังงานแสงอาทิตย์ และผลิตภัณฑ์ทองแดงกึ่งสำเร็จรูปและแปรรูป แม้การส่งออกสินค้าของจีนสหรัฐฯ จะลดลงแต่การส่งออกไปประเทศอื่นยังขยายตัว
ขณะที่การส่งออกสินค้าของหลายประเทศสำคัญไปสหรัฐฯ เริ่มปรับตัวลดลงในช่วงไตรมาสที่สอง โดยในช่วงถัดไปหลาย ๆ ประเทศ คงต้องเผชิญกับมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ที่ทำให้การส่งอกมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ทำให้สศช. ปรับประมาณการสมมติฐานทางการค้าและแนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปี 2568 ใหม่อีกครั้ง โดยปรับเศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้นจาก 2.6% เป็น 3% ประมาณการค้าโลกปรับเพิ่มขึ้นจาก 1.8% เป็น 2.7%
"ข้อกังวลเกี่ยวกับอัตราภาษีสหรัฐฯ ตอนนี้คงคลายตัวลงในระดับหนึ่ง แต่ก็อยู่นิ่งเฉยไม่ได้ เพราะอัตราภาษีที่เกิดขึ้น 19% ก็ทำให้เราต้องปรับตัว โดยเฉพาะกฎระเบียบต่าง ๆ ด้านการส่งออกเพื่อให้เราสามารถแข่งขันต่อไปได้ ซึ่งจากนี้ไปก็ต้องติดตามความเสี่ยงเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อเนื่อง เพราะมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ก็ยังมีความไม่แน่นอนที่อาจมีเพิ่มเติมในช่วงถัดไปด้วย" นายดนุชา กล่าว
ทั้งนี้ สศช. มองว่า การเก็บภาษีนำเข้าสินค้าแบบเฉพาะเจาะจง โดยเฉพาะภาษีนำเข้ายานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์เพิ่มเติมในอัตรา 25% คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยผ่านช่องทางสำคัญ ดังนี้
(1) ผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกสินค้าของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 คาดว่าภาคการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ มีความเสี่ยงสูงที่จะเผชิญกับผลกระทบจากการลดลงของความต้องการสินค้าจากสหรัฐฯ หลังเร่งนำเข้าไปแล้วในช่วงครึ่งแรกของปี
โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าส่งออกที่ไทยที่อาจสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดในสหรัฐฯ เช่น กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์สื่อสาร กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ และกลุ่มส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์
(2) ผลกระทบจากการลดลงของความต้องการสินค้าขั้นกลางและวัตถุดิบที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตของประเทศที่ถูกกีดกันทางการค้าจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะจีน ที่อาจมีการส่งออกไปได้น้อยลงตามความต้องการสินค้าที่ลดลง อาทิ กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ กลุ่มส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ ผลิตภัณฑ์ยาง เมล็ดพลาสติกและเคมีภัณฑ์
(3) ผลกระทบจากการนำเข้าสินค้าที่เร่งตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มสินค้าที่เป็นผลจากการถ่ายลำ (Transshipment) หรือปัญหาการสวมสิทธิสินค้าส่งออกเพื่อเป็นทางผ่านให้ประเทศที่ต้องการหลบเลี่ยงภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นสินค้ากลุ่มที่มีความเสี่ยงที่จะถูกสหรัฐฯ เรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าที่ 40% รวมทั้งสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี สศช. เสนอแนะว่าในการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในช่วงที่เหลือของปี 2568 โดยเฉพาะเรื่องของมาตรการกีดกันการค้าของสหรัฐฯ นั้น ควรให้ความสำคัญกับการดำเนินการเพื่อลดผลกระทบที่เกิดจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และมาตรการตอบโต้ของประเทศสำคัญ ประกอบด้วย 4 เรื่องสำคัญดังนี้
(1) การขยายตลาดใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสินค้าที่มีแนวโน้มที่จะสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาด อาทิ เครื่องโทรศัพท์ เครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ หม้อแปลงไฟฟ้า อุปกรณ์ประกอบยานยนต์ และเครื่องปรับอากาศ
ควบคู่ไปกับการเร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรีที่กำลังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจา และเตรียมศึกษาเพื่อเจรจากับประเทศคู่ค้าสำคัญใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ
(2) การยกระดับการตรวจสอบและเพิ่มความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิด (Rule of origin) เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์ทางการค้าและลดความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะถูกดำเนินมาตรการทางภาษีเพิ่มเติม
โดยเร่งรัดปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบและจัดท่าแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะการปรับปรุงกระบวนการขอรับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin : C/O) และกระบวนการตรวจสอบและรับรองสัดส่วนของมูลค่าวัตถุดิบที่ผลิตภายในภูมิภาคที่ใช้ในการผลิตสินค้าสำคัญ ๆ (Regional Value Content : RVC) ให้มีประสิทธิภาพและไม่สร้างภาระต้นทุนแก่ผู้ประกอบการเพิ่มเติม
(3) การตรวจสอบและเฝ้าระวังการทุ่มตลาดและการใช้นโยบายการค้าที่ไม่เป็นธรรมจากประเทศผู้ส่งออกสำคัญ เพื่อลดผลกระทบจากการทะลักของสินค้านำเข้า โดยมุ่งเน้นการปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบคุณภาพสินค้าน่าเข้าให้มีความเข้มงวดรัดกุมมากขึ้น และเร่งออกมาตรฐานผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมสินค้านำเข้า รวมทั้งการดำเนินการอย่างเคร่งครัดกับผู้กระทำความผิดลักลอบนำเข้าสินค้าที่ผิดกฎหมายหรือไม่ได้มาตรฐาน
โดยเฉพาะการลักลอบการนำเข้าสินค้าตามแนวชายแดน ควบคู่ไปกับการสนับสนุนช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบให้สามารถเข้าถึงกระบวนการยื่นคำขอและไต่สวนการใช้มาตรการภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด การอุดหนุน และมาตรการปกป้องจากการนำเข้า (AD/CVD/AC)
(4) การส่งเสริมให้ภาคธุรกิจบริหารจัดการความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ควบคู่ไปกับการอำนวยความสะดวกและลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 18 สิงหาคม 2568