"เวียดนาม" พุ่งทะยาน "ไทย" ติดหล่ม
เวียดนามเพิ่งประกาศแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ มูลค่า 10% ของ GDP หรือกว่า 1.5 ล้านล้านบาท กระจายไปกว่า 250 โครงการทั่วประเทศ ทั้งสนามบิน ทางหลวง ศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง ไปจนถึงเมืองอัจฉริยะ
แผนนี้ไม่ใช่เพียงการสร้างถนนหรือสนามบินใหม่ แต่คือการปักหมุดอนาคต ที่เวียดนามตั้งเป้าชัดว่าจะก้าวสู่การเป็น “เสือเศรษฐกิจตัวใหม่ของเอเชีย” และก้าวขึ้นเป็นประเทศรายได้สูงภายในปี 2045
ขณะที่ ‘เพื่อนบ้าน’ เดินหมากใหญ่เพื่อยกระดับประเทศ ‘ประเทศไทย’ กลับยังติดอยู่ในวังวนของความไม่แน่นอนทางการเมือง ความขัดแย้งที่ไม่สิ้นสุด และการบริหารประเทศที่ขาด “ผู้นำ” ขาดยุทธศาสตร์ระยะยาว โครงการเมกะโปรเจกต์ที่ถูกหยิบยกขึ้นมา ไม่ได้สร้างแรงดึงดูดใหม่ หรือเปลี่ยนเกมการแข่งขันอย่างแท้จริง ซ้ำร้ายคือ ไม่มีโครงการใหม่ที่เป็นแม่เหล็กเพียงพอ หรือเป็นโครงการที่เติมเชื้อไฟให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าอย่างมั่นคง
บทเรียนจากเวียดนามชี้ให้เห็นว่า “วิสัยทัศน์” และ “ความต่อเนื่อง” คือ หัวใจของการพัฒนา การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ได้เป็นเพียงการใช้เงินมหาศาล แต่คือการลงทุนเพื่อสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจใหม่ ลดพึ่งพาการส่งออก และปลดล็อกข้อจำกัดทางโครงสร้าง ประเทศไทยมีหลายโครงการที่อ้าแขนรับนักลงทุนก็จริง แต่กลับไม่สามารถสร้าง “ความเชื่อมั่น” ได้ในระดับสากลได้ สิ่งที่น่ากังวล คือ หากไทยยังคงเดินอย่างไร้ทิศทาง ทุกคนที่มีอำนาจในการบริหารประเทศ “เกียร์ว่าง” เวียดนามอาจกลายเป็นแม่เหล็กการลงทุนที่แซงหน้าไทยอย่างสิ้นเชิง นักลงทุนที่เคยมองไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญในอาเซียน กำลังเบนเข็มไปที่ ‘ฮานอย’ และ ‘โฮจิมินห์’ ด้วยแรงจูงใจจากนโยบายชัดเจนและโครงสร้างพื้นฐานที่กำลังถูกยกระดับอย่างเร่งด่วน
รัฐบาลไทยจำเป็นต้องตื่นจากภวังค์ทางการเมือง แล้วกลับมาโฟกัสที่ “ยุทธศาสตร์ชาติ” อย่างจริงจัง การกระตุ้นเศรษฐกิจควรไปไกลกว่าการอัดเงินอุดหนุนระยะสั้น แต่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การวิจัยพัฒนา และระบบโลจิสติกส์ ที่จะเป็นหัวใจของเศรษฐกิจในศตวรรษที่ 21 ที่สำคัญคือต้องสร้างกลไกให้การลงทุนเหล่านี้ต่อเนื่อง ไม่สะดุดตามวงจรการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เหนือสิ่งอื่นใด ภาพรวมการบริหารประเทศ สถานการณ์การเมืองต้องนิ่งพอ
หากไทยไม่สามารถจัดการความไม่แน่นอนทางการเมือง และวางยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน ประเทศจะเสี่ยง “ตกขบวน” การแข่งขันในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และกลายเป็นเพียงผู้ตามที่ไร้บทบาท สิ่งที่นักลงทุน ภาคธุรกิจ รวมถึงภาคประชาชนต้องการมากที่สุดเวลานี้ คือ การสร้างเสถียรภาพทางการเมืองควบคู่กับการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนและสม่ำเสมอ ถึงเวลาที่ไทยต้องเลิกสาละวนกับปัญหาเฉพาะหน้า และเริ่มสร้าง “ความฝันใหม่” ของชาติ ยุทธศาสตร์ที่ดันประเทศโตอย่างก้าวกระโดดและเป็นไปได้จริง ไม่เช่นนั้น คำถามที่ว่า “ไทยจะแพ้เวียดนามหรือไม่” อาจไม่ใช่เพียงการคาดการณ์ แต่จะกลายเป็น “ความจริงที่เจ็บปวด"
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 19 สิงหาคม 2568