"ทีมไทยแลนด์" ลุยถกภาษีทรัมป์ หวั่นเกณฑ์ Local Content 60%
"ทีมไทยแลนด์" นัดสหรัฐสัปดาห์นี้ เคลียร์สัดส่วน Local content เผยข้อเสนอสหรัฐ 60% "พาณิชย์" เร่งหารือผู้ประกอบการ กำหนดสินค้าเกษตร “หอการค้า” จับตาสหรัฐประกาศสัดส่วน ส.อ.ท.หวังไทยโดนอัตราไม่เกิน 45% ภาคการผลิตไทยอยู่รอด “สมาคมธนาคาร” ชี้ต้องตีความข้อเสนอสหรัฐให้ชัด
หลังจากที่สหรัฐประกาศอัตราภาษีตอบโต้ที่เรียกเก็บสินค้าจากไทย 19% ยังมีประเด็นการป้องกันการสวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้าที่สหรัฐมีแนวโน้มจัดเก็บภาษีกับทุกประเทศอัตรา 40% โดยไทยและสหรัฐต้องเจรจาประเด็นกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า (Rule of Origin) ซึ่งสหรัฐยื่นข้อเสนอสัดส่วนมูลค่าการผลิตในประเทศ (Local Content) 60%

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ทีมไทยแลนด์จะหารือการกำหนดสัดส่วน Local content และกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า โดยไทยเสนอให้ใช้สัดส่วน 40% แต่สหรัฐต้องการในสัดส่วน 50-60%
แหล่งข่าวจากระทรวงพาณิชย์ เผยว่า ปัจจุบันสหรัฐยังไม่มีเพดานสัดส่วน Regional Value Content (RVC) ที่ชัดเจน โดยเฉพาะ สัดส่วน Local Content โดยคาดว่าปลายเดือน ส.ค.2568 จะมีความชัดเจน แต่คาดว่าสหรัฐจะพิจารณาเพิ่มจากข้อเสนอของไทยให้สูงขึ้นอยู่ระหว่าง 50-60% เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์
นายพิชัย ชุนหวชิระ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า ยังไม่มีความคืบหน้าและขณะนี้ยังไม่ได้มีการลงนามประเภทสินค้าแต่อย่างใด
ทั้งนี้ เวทีสัมมนา “จากโต๊ะเจรจาสู่ภาคปฏิบัติ: ถอดบทเรียนภาษีทรัมป์” From Negotiation to Action: Lessons from the Trump Tariff Talks” ส่วนหนึ่งได้มีการนำเสนอประเด็น Local Content
สำหรับสัมนาดังกล่าวจัดโดยคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง ร่วมกับคณะกรรมาธิการการต่างประเทศคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรมคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ และคณะกรรมาธิการการเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และการโทรคมนาคม วุฒิสภา
นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา กล่าวว่า มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐกระทบการส่งออกและโครงสร้างทางการค้า รวมถึงกระทบความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทย ซึ่งไทยได้อัตราภาษี 19% แม้จะดีกว่าที่หลายฝ่ายเคยกังวล แต่ผู้ประกอบการไทยต้องปรับเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันทำให้ต้นทุนสินค้าถูกลงและการส่งออกแข่งขันได้
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การเจรจาภาษีทรัมป์ยังไม่สิ้นสุดแม้ไทยปิดดีลภาษีนำเข้า 19% เพราะยังมีประเด็น Local Content ซึ่งทีมไทยแลนด์พยายามเจรจากับสหรัฐเพื่อให้สัดส่วนการใช้ Local Content ไทยได้ประโยชน์สูงสุด โดยสหรัฐต้องการสัดส่วน 60% แต่ไทยต่อรองให้เหลือ 50% และ 30% แต่ 30% คงไม่ได้แน่นอน
ทั้งนี้ หากไทยโดน Local Content 50% ภาคการผลิตหลายกลุ่มอุตสาหกรรมไทยไปไม่รอดแน่นอน โดยระหว่างนี้อยู่ขั้นการเจรจาที่คาดว่าสหรัฐจะประกาศ Local Content เป็นอัตราเดียวใช้กันทั่วโลก
“สิ่งที่ต้องรับเราก็ต้องรับหากไม่เสียหายหนักมาก สินค้าเกษตรแล้วไทยได้ประโยชน์ก็ควรนำเข้า เช่น ข้าวโพด ส่วนภาคอุตสาหกรรมการขึ้นภาษีกระทบอุตสาหกรรมไหนก็ต้องช่วยเหลือเยียวยาและช่วยปรับตัว"
นอกจากนี้ ไทยจำเป็นต้องรักษาตลาดสหรัฐไว้เพราะมีสัดส่วนถึง 18% ของการส่งออกไทยทั้งหมด โดยรัฐบาลเตรียมมาตราการเยียวยาลดผลกระทบไว้แล้วเพียงแค่รอความชัดเจน Local Content
ส.อ.ท.ห่วงภาษี Transshipment
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ตลาดสหรัฐเป็นตลาดใหญ่ที่หลายประเทศต้องพึ่งพา ซึ่งสหรัฐประกาศเก็บภาษีตอบโต้ทั่วโลกและแม้ไทยปิดดีลได้ 19% แต่ยังเหลือประเด็นเก็บภาษีจากสินค้าสวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้า โดยเวียดนามถูกสหรัฐประกาศจัดเก็บภาษีอัตรา 40% สำหรับสินค้าประเทศอื่นที่ส่งผ่านเวียดนามไปสหรัฐ
ทั้งนี้ หากไทยถูกเก็บภาษีเท่ากันยังสู้ได้ โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ การส่งออกไทยโตขึ้นเฉลี่ย 15% โดยไทยส่งออกไปสหรัฐสัดส่วน 27% ขณะที่การนำเข้าสินค้าจากจีนสัดส่วน 30% ของการนำเข้ารวม ซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่าไทยเป็นทางผ่าน โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมของไทยที่เติบโตไม่ถึง 1% จึงชี้ให้เห็นว่า ส่วนใหญ่เป็น Transshipment
ดังนั้น จากนี้ไปทีมไทยแลนด์ต้องเจรจาประเด็นแหล่งกำเนิดสินค้าให้ได้ รวมทั้งอัตราภาษีไทยใกล้เคียงภูมิภาคทำให้แข่งขันได้ แต่ต้องติดตามการเจรจาและประเมินผลกระทบ 2 กรณี
1)กรณีถูกเก็บภาษีตอบโต้ 19% กับทุกสินค้า ยกเว้นสินค้าภายใต้มาตรา 232 เช่น รถยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เหล็กและอลูมิเนียม ทองแดงสำเร็จรูป
2)กรณีถูกเก็บภาษีการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (AD/CVD/AC) บวกเพิ่มตามประเทศที่ถูกเรียกเก็บ รวมถึงภาษี Transshipment 40% ในกรณีที่เป็นสินค้าที่เกิดจากการสวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้า
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า สัดส่วน RVC หรือ Local Content จะเป็นประเด็นสำคัญที่ชี้ถึงความได้เปรียบหรือเสียเปรียบ โดยเฉพาะคำนิยาม Local Content ว่ามีอย่างไร ซึ่งไทยต้องแปลความหมายให้ชัดเจนและถูกต้องจะทำแข่งขันได้และดีกว่าเดิม
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 20 สิงหาคม 2568