สำรวจเศรษฐกิจโลกสองขั้วปี 68 ใครโตพุ่ง ใครสะดุดพิษภาษีทรัมป์
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจโลก สหรัฐฯ-จีน-ยุโรปปรับคาดการณ์ GDP ปี 2025 ดีขึ้น ขณะอินเดีย-บราซิลถูกหั่นตัวเลขจากภาษีสหรัฐฯ จับตาทิศทางดอกเบี้ย-เงินเฟ้อ และนโยบายการค้าโลกที่ยังไม่แน่นอน
เศรษฐกิจโลกปี 2568 กำลังส่งสัญญาณการพลิกโฉม เมื่อหลายประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ทั้งสหรัฐฯ แคนาดา ยูโรโซน สหราชอาณาจักร และจีนแผ่นดินใหญ่ ต่างถูกปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการขยายตัว GDP หลังตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 2 ออกมาดีกว่าคาด ขณะเดียวกันดัชนี PMI ทั่วโลกก็ปรับขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่สาม โดยเฉพาะดัชนี Composite Output ซึ่งสะท้อนภาพรวมกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เริ่มมีแรงขับเคลื่อนชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกประเทศที่จะได้อานิสงส์จากแนวโน้มดังกล่าว โดย อินเดียและบราซิล กลับถูกปรับลดคาดการณ์การเติบโตทั้งปี 2568 และ 2569 เหตุเพราะได้รับผลกระทบโดยตรงจากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ที่สูงกว่าที่เคยประเมินไว้
รายงานชี้ว่า แม้การประกาศภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคมจะช่วยสร้างบรรยากาศเชิงบวกในตลาดการเงิน โดยคู่ค้าส่วนใหญ่ถูกเก็บภาษีในระดับที่ต่ำกว่าชุดแรกเมื่อเดือนเมษายน แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวของมาตรการภายใต้กฎหมาย Section 232 และการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับคู่ค้าหลักอย่างจีน แคนาดา และเม็กซิโก ซึ่งอาจทำให้กรอบความตกลงทางการค้าบางส่วนเผชิญปัญหา
ด้านเงินเฟ้อในสหรัฐฯ เริ่มสะท้อนแรงกดดันจากต้นทุนภาษีที่สูงขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้ภาคธุรกิจพยายามดูดซับต้นทุนผ่านสต๊อกสินค้าหรือการลดมาร์จิ้น ล่าสุดข้อมูลเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมบ่งชี้ว่าผู้บริโภคเริ่มเผชิญราคาสินค้าที่แพงขึ้น โดย เงินเฟ้อสินค้าหลัก (Core Goods Inflation) เพิ่มขึ้น 0.5 จุดแตะ 1.1% ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งสูงที่สุดตั้งแต่กลางปี 2566 ขณะที่ข้อมูลดัชนี PMI ของสหรัฐฯ ก็ยืนยันแรงกดดันด้านราคาในภาคการผลิตยังอยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ย
เมื่อหันไปดูนโยบายการเงิน รายงานคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) มีโอกาสกลับมาใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายเร็วกว่าที่เคยคาด หลังตัวเลขการจ้างงานอ่อนแอลง แม้ฐานที่ตั้งไว้ยังเป็นการปรับลดดอกเบี้ยเพียง 0.25% ในเดือนธันวาคม เนื่องจากเฟดยังเป็นห่วงแรงกดดันเงินเฟ้อจากภาษี สำหรับตลาดล่วงหน้าก็สะท้อนความเชื่อมั่นว่าจะมีการลดดอกเบี้ยรวมราว 0.60% ใน 3 ครั้งสุดท้ายของปี และประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยเฟดอาจอยู่ที่ราว 3% ภายในสิ้นปี 2569 จากระดับปัจจุบัน 4.25%-4.50%
ในยุโรป ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ลดดอกเบี้ยนโยบายลงครึ่งหนึ่งจากระดับสูงสุดหลังโควิด และไม่น่าจะมีการลดเพิ่มจากระดับปัจจุบันที่ 2% ขณะที่ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อย่างบราซิลและรัสเซียเริ่มส่งสัญญาณผ่อนคลายทางการเงิน หลังเศรษฐกิจเผชิญแรงกดดันชัดเจน
ส่วนแนวโน้มปี 2569 คาดว่าหลายภูมิภาคจะกลับมาฟื้นตัวจากแรงหนุนของนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายและมาตรการกระตุ้นการคลัง โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และเยอรมนี แต่สำหรับ ตะวันออกกลาง คาดว่าการเติบโตจะถูกกดดันจากราคาน้ำมันที่ลดลงในระยะยาว
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 20 สิงหาคม 2568