ไทยกำลังก้าวสู่สังคม "ลด" เงินสด จะเก็บค่าธรรมเนียม "QR Code Payment" ต้องคิดให้รอบคอบ
แนวคิดสังคมเศรษฐกิจที่ปราศจากเงินสด ที่เรียกว่า Cashless Society หรือ Cashless Economy เป็นวิสัยทัศน์ของแนวคิดการเงินที่สำคัญ 2 ด้าน คือ
การที่เงินสดจะถูกลดความสำคัญลง และหายไปในอนาคต และบทบาทความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงการทำธุรกรรมการเงินที่ไม่จำเป็นต้องใช้ธนบัตร เช็ค หรือเหรียญอีกต่อไป
ประเทศที่เป็นต้นแบบของ Cashless Society คือ สวีเดน ซึ่งได้พัฒนาประเทศกลายมาเป็นสังคมไร้เงินสดในปี 2015 ธุรกรรมการเงินต่างๆ ได้เปลี่ยนไปอยู่ในรูปแบบของอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ บัตรเครดิต บัตรเดบิต และ แอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือ ส่งผลให้สัดส่วนการชำระเงินผ่านระบบ e-Payment อยู่ที่ 80% ของการทำธุรกรรมการเงินในสวีเดน ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของทั่วโลกอยู่ที่ 25%
ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ปรับตัวเข้าหาเทคโนโลยีจนเข้าสู่การปฏิวัติเทคโนโลยี (Digital Transformation) ให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกสบาย ในแง่ของระบบการทำธุรกรรม
QR Payment คืออะไร?
QR Payment คือ ระบบการชำระเงินแบบไร้สัมผัสผ่าน QR Code โดยลูกค้าสามารถสแกน QR Code ที่ทางร้านค้าจัดเตรียมไว้ เพื่อทำการชำระเงินค่าสินค้า และบริการผ่านแอปพลิเคชันธนาคารหรือ Mobile Banking บนสมาร์ตโฟนของตัวเอง ทั้งนี้ QR Code อาจเป็นบัญชีธนาคารหรือ Prompt pay ก็ได้
นอกจากนี้ยังมี QR Payment บัตรเครดิต ที่สามารถใช้บัตรเครดิตที่ผูกกับแอปพลิเคชันธนาคารเพื่อทำการชำระเงินได้อีกด้วย ซึ่งบริการดังกล่าวสามารถทำรายการกับร้านค้าที่ร่วมรายการโดยจะมี QR Code และสัญลักษณ์การรับชำระเงินด้วยบัตรเครดิต พร้อมมีสัญลักษณ์ Visa, Master, และ JCB แสดงไว้บนแผ่นป้าย QR Code
QR Payment คือ ทางเลือกใหม่ของการชำระเงินตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล ลดความจำเป็นในการพกพาเงินสด ช่วยให้การทำธุรกรรมทางการเงินสะดวก รวดเร็วและปลอดภัยยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสแกนจ่ายเงินซื้อสินค้า การโอนเงินหรือการรับเงิน เป็นการผลักดันสู่สังคมแบบไร้เงินสดอย่างแท้จริง
วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจให้มากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับระบบ QR Payment และประโยชน์ที่ธุรกิจของคุณจะได้รับจากการนำระบบนี้มาใช้งานไปพร้อม ๆ กัน
QR Payment มีกี่แบบ? แตกต่างกันอย่างไร
ความแตกต่างของ QR Payment สามารถจำแนกตามประเภทของบัญชี หรือ แบ่งตามลักษณะของ QR Code ก็ได้ ดังนี้ แบ่งตามประเภทของบัญชีสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ดังนี้
แบบที่ 1 BOT QR Payment :
เป็นระบบการชำระเงินผ่าน QR Code ที่พัฒนาโดยธนาคารแห่งประเทศไทย โดยใช้เลขประจำตัวประชาชน (เลข 13 หลัก) เบอร์โทรศัพท์มือถือ หรืออีเมล ในการผูกกับบัญชีธนาคารเพื่อการชำระเงินค่าสินค้าและบริการตามใบแจ้งหนี้ คือระบบการชำระเงินที่ใช้มาตรฐาน QR Code เพื่ออำนวยความสะดวกในการชำระเงินค่าสินค้าและบริการตามใบแจ้งหนี้ โดยอิงตามมาตรฐานของสมาคมธนาคารไทย ทำให้ผู้ขายสามารถออก QR Code ที่มีข้อมูลใบแจ้งหนี้ และผู้ชำระเงินสามารถสแกนผ่าน Mobile Banking เพื่อชำระเงินได้อย่างรวดเร็ว โดยธนาคารจะแจ้งผลการชำระเงินพร้อมข้อมูลอ้างอิงกลับให้แก่ผู้ขายโดยอัตโนมัติ
แบบที่ 2 Thai QR Payment QR Payment :
เป็นระบบการชำระเงินผ่าน QR Code ที่พัฒนาโดยธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่ง โดยใช้ QR Code เฉพาะของร้านค้าในการชำระเงินแบ่งด้วยลักษณะของ QR Code แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1.Static QR Code ตัว QR Code จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง เจ้าของร้านค้า และเจ้าของธุรกิจสามารถนำไปพิมพ์ติดลงบนสินค้า หรือติดบริเวณร้านค้า “ซึ่งลูกค้าต้องกรอกจำนวนเงินเอง” 2.Dynamic QR Code QR Code แบบเปลี่ยนแปลง หรือ Dynamic QR Code ตัว QR Code จะมีการเปลี่ยนแปลงตามราคาสินค้า หรือบริการตามที่ร้านค้าได้ตั้งไว้ “ลูกค้าไม่ต้องกรอกจำนวนเงินเอง”
คิดจะเก็บค่าธรรมเนียม QR Payment ต้องตระหนัก
การที่ธนาคารพาณิชย์ดำริที่จะเก็บค่าธรรมเนียม QR Payment กับร้านค้า นับว่าเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจที่แย่อยู่แล้วให้เลวร้ายลงไปอีก หากเราพิจารณากำไรต่อปีของธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งก็มากกว่าพันล้านบาททุกปี ค่าธรรมเนียม QR Payment เพียงเล็กน้อย ก็ควรให้เป็นงบสนับสนุนเพื่อให้สังคมไทยก้าวสู่ Cashless Society อย่างมั่นคงและยั่งยืน
การเก็บค่าธรรมเนียม QR Payment จะส่งผลให้สังคมไร้เงินสดตามนโยบายธนาคารแห่งประเทศไทย กลับสู่สังคมต้องใช้เงินสด ทุกวันนี้ ตามย่านตลาดสดตลาดนัด พ่อค้าแม่ค้าจำนวนมากเริ่มติดป้ายให้รับรู้ว่า “โอนเงินผ่าน QR ต้องไม่ต่ำกว่า 90 บาท” ก็เริ่มมีให้เห็นกันบ้างแล้ว
สิ่งที่อยากเห็นมาก ก็คือ การที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นคนริเริ่มสร้างความร่วมมือกันระหว่างผู้ประกอบการ และ ธนาคารพาณิชย์ร่วมกันสร้างสรรค์สังคมไร้เงินสดอย่างจริงจังและอย่างยั่งยืน อีกทั้งควรเรียกตัวแทนผู้ประกอบและตัวแทนธนาคารพาณิชย์ ประชุมหาสมดุลในการที่จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียม หากจำเป็น รวมถึงจังหวะเวลาที่ต้องไม่ใช่ช่วง 2-3 ปีนี้
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 29 สิงหาคม 2568