สหรัฐฯ ฟันค่าวีซ่าเพิ่ม 8,000 บาท แพงติดอันดับโลก ส่อซ้ำเติมวิกฤตท่องเที่ยว
สหรัฐฯ ประกาศเก็บ "Visa Integrity Fee" เพิ่ม 250 ดอลลาร์ 1 ต.ค.นี้ ดันค่าขอวีซ่าสูงถึง 442 ดอลลาร์ หนึ่งในอัตราที่แพงที่สุดในโลก เสี่ยงฉุดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติหดต่อเนื่อง ท่ามกลางนโยบายเข้มยุคทรัมป์
สหรัฐอเมริกากำลังเผชิญแรงกดดันใหม่ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว หลังรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศจัดเก็บค่าธรรมเนียมใหม่ “Visa Integrity Fee” มูลค่า 250 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 8,067 บาท มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมนี้ ส่งผลให้ค่าธรรมเนียมการขอวีซ่าสหรัฐฯ พุ่งแตะ 442 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 16,000 บาท กลายเป็นหนึ่งในค่าธรรมเนียมวีซ่าที่แพงที่สุดในโลก และอาจยิ่งซ้ำเติมปัญหานักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าสหรัฐฯ ลดลงต่อเนื่อง
ข้อมูลจากรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่า ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีนักเดินทางต่างชาติ 19.2 ล้านคน ลดลง 3.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน และนับเป็นเดือนที่ 5 ของปีนี้ที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวหดตัว แม้ก่อนหน้านี้หลายฝ่ายคาดว่า ปี 2025 จะเป็นปีที่สหรัฐฯ ฟื้นตัวเต็มที่และกลับมามีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทะลุ 79.4 ล้านคน ซึ่งเป็นระดับก่อนการระบาดโควิด-19
มาตรการเก็บค่าธรรมเนียมวีซ่าใหม่จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้เดินทางจากประเทศที่ไม่ได้อยู่ในโครงการยกเว้นวีซ่า เช่น เม็กซิโก อาร์เจนตินา บราซิล อินเดีย และจีน โดยสมาคมการท่องเที่ยวสหรัฐฯ เตือนว่า ค่าธรรมเนียมที่สูงเช่นนี้จะกลายเป็นอุปสรรคใหม่ ทำให้หลายคนต้องชั่งใจมากขึ้นกับการเดินทางมาเยือน
เกบ ริซซี ประธานบริษัทจัดการท่องเที่ยวระดับโลก Altour ระบุว่า “ทุกแรงเสียดทานที่เพิ่มเข้ามาในการเดินทาง ย่อมทำให้ปริมาณนักท่องเที่ยวลดลงไม่มากก็น้อย” พร้อมเสริมว่า เมื่อฤดูท่องเที่ยวซัมเมอร์สิ้นสุดลง ผลกระทบของค่าธรรมเนียมใหม่นี้จะยิ่งชัดเจนขึ้น และนักเดินทางจำนวนมากอาจต้องปรับงบประมาณการเดินทางใหม่ทั้งหมด
แนวโน้มดังกล่าวยังสอดคล้องกับรายงานของ World Travel & Tourism Council ที่ประเมินว่า การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติในสหรัฐฯ ปีนี้จะลดลงเหลือต่ำกว่า 169,000 ล้านดอลลาร์ จากระดับ 181,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2024 ขณะที่บริษัทที่ปรึกษา Tourism Economics ก็ชี้ว่าแทนที่ปี 2025 จะเติบโต 10% ตามคาดการณ์เดิม กลับมีแนวโน้มติดลบ 3%
บรรยากาศในเชิงลบต่อการเดินทางเข้าสหรัฐฯ ยังทวีคูณจากนโยบายอื่น ๆ ของรัฐบาลทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็นการเสนอร่างกฎใหม่เพื่อจำกัดระยะเวลาวีซ่าสำหรับนักเรียน ผู้เข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และสื่อมวลชน ตลอดจนโครงการนำร่องที่เริ่มใช้เมื่อ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งเปิดทางให้สหรัฐฯ เรียกเก็บ “เงินประกัน” สูงสุดถึง 15,000 ดอลลาร์ สำหรับผู้ขอวีซ่าท่องเที่ยวและวีซ่าธุรกิจบางประเภท เพื่อป้องกันการอยู่เกินกำหนด
แม้ว่าในภาพรวมตลาดท่องเที่ยวสหรัฐฯ จะซบเซา แต่ภูมิภาคอเมริกากลางและอเมริกาใต้ยังคงเป็นจุดสว่างเล็ก ๆ โดยตั้งแต่ต้นปี 2025 การเดินทางจากเม็กซิโกเพิ่มขึ้นเกือบ 14% ขณะที่อาร์เจนตินาพุ่งสูงถึง 20% และบราซิลเพิ่มขึ้น 4.6% อย่างไรก็ตาม การเดินทางจากยุโรปตะวันตกหดตัวลง 2.3% สะท้อนให้เห็นว่าตลาดสำคัญในซีกโลกเหนือยังคงอ่อนไหวต่อมาตรการเข้มงวดของสหรัฐฯ
สำหรับจีน การเดินทางเข้าสหรัฐฯ ยังไม่ฟื้นตัว โดยเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาจำนวนนักท่องเที่ยวยังต่ำกว่าระดับปี 2019 ถึง 53% ขณะที่อินเดียก็ได้รับผลกระทบหนัก โดยเฉพาะนักเรียนที่ลดลงเกือบ 18% ส่งผลให้ยอดรวมการเดินทางจากอินเดียติดลบ 2.4% ในปีนี้
แม้บางส่วนมองว่าค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นเป็นเพียงต้นทุนหนึ่งในทริปที่มีค่าใช้จ่ายสูงอยู่แล้ว แต่เสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการท่องเที่ยวกลับสะท้อนถึงความกังวลในวงกว้าง ไม่เพียงเฉพาะในแง่ค่าใช้จ่าย แต่รวมไปถึงความเสี่ยงที่ประเทศปลายทางอื่น ๆ อาจออกมาตรการตอบโต้ด้วยการเก็บค่าธรรมเนียมแบบ “reciprocal fees” จากนักท่องเที่ยวอเมริกันในอนาคต
การเก็บค่าธรรมเนียมวีซ่าใหม่ของสหรัฐฯ จึงถูกมองว่าไม่เพียงสร้างแรงกดดันต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่ยังสะท้อนถึงภาพลักษณ์ที่แข็งกร้าวด้านนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งอาจทำให้เสน่ห์ของสหรัฐฯ ในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวโลกถูกลดทอนลง แม้ข้างหน้าจะมีมหกรรมกีฬาระดับโลกอย่างฟุตบอลโลก 2026 และโอลิมปิก 2028 ก็ตาม
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 31 สิงหาคม 2568