ทรัมป์ขู่ล้มดีลการค้าโลก หากแพ้คดี-ศาลสูงสุดไม่หนุนภาษี หวั่นสหรัฐฯ เจ็บหนัก
KEY POINTS
* ทรัมป์ขู่ว่าจะยกเลิกข้อตกลงการค้ากับสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ หากศาลสูงสุดมีคำตัดสินยืนตามศาลอุทธรณ์ว่ามาตรการภาษีของเขาผิดกฎหมาย
* เขาเตือนว่าหากแพ้คดีและต้องยกเลิกภาษี จะสร้างความเสียหายและต้นทุนทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาลต่อสหรัฐฯ
* คำขู่ดังกล่าวมีขึ้นขณะที่รัฐบาลของเขากำลังยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสูงสุด เพื่อหวังให้กลับคำตัดสินของศาลชั้นต้น และถูกมองว่าเป็นการกดดันศาล
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ส่งสัญญาณแรงเมื่อวันที่ 3 กันยายนที่ผ่านมา โดยประกาศว่าสหรัฐฯ อาจจำเป็นต้อง "ยกเลิก" ข้อตกลงการค้าที่ได้บรรลุกับสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ หากศาลสูงสุดมีคำตัดสินยืนตามศาลอุทธรณ์ที่เพิ่งชี้ว่ามาตรการเก็บภาษีหลายรายการของเขาไม่ชอบด้วยกฎหมาย พร้อมเตือนว่าหากแพ้คดีนี้ สหรัฐฯ จะต้อง “เจ็บปวดอย่างมหาศาล”
ทรัมป์ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวว่า ฝ่ายบริหารของเขาจะยื่นคำร้องต่อศาลสูงสุดเพื่อขอให้กลับคำตัดสินของศาลอุทธรณ์เมื่อสัปดาห์ก่อน ซึ่งชี้ว่ามาตรการภาษีจำนวนมากที่ทรัมป์ใช้เป็นเครื่องมือในสงครามการค้านั้นผิดกฎหมาย แม้เจ้าตัวจะแสดงความมั่นใจว่าฝ่ายตนจะชนะคดี แต่ก็ยอมรับว่า หากแพ้จริง ข้อตกลงการค้าสำคัญที่ทำไว้กับพันธมิตรอาจถูก “รื้อ” ทั้งหมด
ทรัมป์อ้างว่าสหภาพยุโรป “กำลังจ่ายเงินเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ให้สหรัฐฯ” ภายใต้ข้อตกลงที่บรรลุสำเร็จ และย้ำว่าทุกฝ่าย “มีความสุข” กับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็ยอมรับว่าหากศาลสูงสุดตัดสินให้ภาษีเป็นโมฆะ ก็อาจต้องยกเลิกข้อตกลงเหล่านี้ทั้งหมดเป็นลูกโซ่
นี่เป็นครั้งแรกที่ทรัมป์พูดชัดเจนว่า ข้อตกลงการค้ากับคู่ค้ารายใหญ่ที่เจรจาแยกออกมาจากประเด็นภาษี อาจตกอยู่ในความเสี่ยง หากคำตัดสินศาลสูงสุดไม่เป็นไปตามที่เขาคาดหวัง โดยเขาย้ำว่าการยกเลิกภาษีจะสร้าง “ต้นทุนมหาศาล” ต่อสหรัฐฯ แม้ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าจะชี้ว่า ภาษีที่เก็บอยู่นั้นแท้จริงแล้วเป็นภาระที่ผู้นำเข้าในสหรัฐฯ ต้องจ่าย ไม่ใช่บริษัทผู้ผลิตในต่างประเทศ และหลายฝ่ายเตือนว่าภาษีเหล่านี้กำลังเร่งแรงกดดันเงินเฟ้อภายในประเทศ
คำตัดสินของศาลอุทธรณ์ครั้งนี้ครอบคลุมถึงภาษี “แบบต่างตอบแทน” ที่ทรัมป์เริ่มใช้ในเดือนเมษายนเพื่อกดดันคู่ค้า รวมถึงภาษีเพิ่มเติมต่อจีน แคนาดา และเม็กซิโกที่ประกาศในเดือนกุมภาพันธ์ แต่ไม่กระทบต่อภาษีที่อาศัยอำนาจทางกฎหมายอื่น เช่น ภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม ซึ่งยังคงบังคับใช้อยู่
นักวิเคราะห์การค้าเชื่อว่าถ้อยแถลงของทรัมป์ที่ชี้ว่าการยกเลิกภาษีจะนำไปสู่ “ความโกลาหลทางเศรษฐกิจ” มีเป้าหมายหลักเพื่อกดดันศาลสูงสุดให้ตระหนักถึงความเสี่ยงทางเศรษฐกิจมหาศาล หากภาษีถูกเพิกถอน โดยไรอัน มาจีรุส อดีตเจ้าหน้าที่การค้าสหรัฐฯ ที่ปัจจุบันทำงานในสำนักงานกฎหมาย King & Spalding ระบุว่า ข้อตกลงกับสหภาพยุโรปและประเทศคู่ค้าอื่น ๆ เป็นเพียง “กรอบความร่วมมือ” ที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ใช่ข้อตกลงการค้าเต็มรูปแบบตั้งแต่แรก การประกาศของทรัมป์จึงเป็นการเพิ่มอำนาจต่อรองของสหรัฐฯ ให้มากที่สุด
แม้ผู้สังเกตการณ์บางส่วนจะมองว่า ศาลสูงสุดซึ่งมีผู้พิพากษาส่วนใหญ่ได้รับการแต่งตั้งจากฝ่ายรีพับลิกัน อาจช่วยเพิ่มโอกาสให้ทรัมป์รักษาภาษีบางส่วนไว้ได้ แต่ก็ยากจะคาดเดาผลลัพธ์ เพราะเป็นกรณีที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและมีความซับซ้อนสูง
อย่างไรก็ตาม คำพูดของทรัมป์กลับสร้างความไม่ชัดเจนต่อทิศทางนโยบายการค้าสหรัฐฯ โดยวุฒิสมาชิก รอน ไวเดน พรรคเดโมแครตและประธานคณะกรรมาธิการการคลังวุฒิสภา ออกมาวิจารณ์ว่าคำกล่าวนี้ยิ่งทำให้เกิดความสับสนว่า แท้จริงแล้วข้อตกลงการค้าของสหรัฐฯ จะยังคงมีน้ำหนักหรือไม่ หากศาลสูงสุดตัดสินให้ภาษีเป็นโมฆะ
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 4 กันยายน 2568