สิงคโปร์-มาเลเซีย บทเรียนเกี่ยวกับบทบาทของรัฐ | ปกรณ์ วิชายานนท์
หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินใจให้เปลี่ยนคณะรัฐมนตรีทั้งชุดเมื่อปลาย ส.ค. ที่ผ่านมา นักการเมืองเป็นจำนวนมากได้ปรึกษาหารือเกี่ยวกับกลยุทธ์ต่างๆ ในการรวมพรรคเข้าด้วยกันเพื่อจัดตั้งรัฐบาลใหม่
แต่จากมุมมองของประชาชนทั่วไปในปัจจุบัน ความกังวลหลักกลับอยู่ที่ภาวะเศรษฐกิจของไทยตกต่ำและประสบปัญหาในหลายรูปแบบ
สิ่งที่ทุกคนคาดหวังคือ รัฐบาลใหม่จะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเหล่านั้นได้สำเร็จลุล่วงไปได้อย่างรวดเร็วและถูกต้องในทุกแง่มุม ดังนั้น คำถามหลักของประชาชนจึงอยู่ที่ว่ารัฐบาลใหม่ควรมีบทบาทอย่างไร มีแนวนโยบายบริหารประเทศไปในทิศทางไหน ด้วยมาตรการใดบ้าง และภายในระยะเวลาเท่าใด หากเราต้องการตอบคำถามเหล่านี้อาจพิจารณาถึงประสบการณ์ของรัฐบาลในต่างประเทศที่ประสบผลสำเร็จในการบริหารระบบเศรษฐกิจของตน
สาเหตุที่คัดเลือกแต่เพียง “สิงคโปร์” และ “มาเลเซีย” มาเจาะลึกศึกษาในที่นี้เป็นเพราะทั้ง 2 ประเทศนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากกว่าไทยในการพัฒนาเศรษฐกิจส่วนรวม
ดัชนีที่ช่วยชี้ชัดและยืนยันถึงความสำเร็จดังกล่าวคือระดับรายได้ประชากรต่อคนต่อปี (per capita income หรือ PCI) สถิติที่แสดงในตารางชี้ให้เห็นว่า PCI ของสิงคโปร์อยู่ในระดับ 9 เท่าของไทย ในขณะที่ PCI ของมาเลเซียอยู่ในระดับ 1.6 เท่าของไทยตลอดช่วงเวลา 3 ทศวรรษที่ผ่านมา

ดังนั้น จึงควรศึกษามุมมองของผู้เชี่ยวชาญและฐานข้อมูลเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (ผ่านระบบข้อมูลคอมพิวเตอร์) เพื่อทำความเข้าใจว่าแนวนโยบาย และ/หรือ มาตรการใดของรัฐได้มีส่วนช่วยหนุนหลังความสำเร็จของสิงคโปร์และมาเลเซีย
สิงคโปร์ :
(1) รัฐเข้าไปร่วมปฏิบัติการหรือแทรกแซงตลาดอย่างหนักแน่นทั้งในการบริหารทรัพย์สินของรัฐและธุรกิจในเขตอุตสาหกรรม
(2) เน้นการลงทุนในการศึกษาและพัฒนาบุคลากรโดยเฉพาะทางด้านเทคโนโลยีรุ่นใหม่
(3) ต่อต้านคอร์รัปชันอย่างได้ผลเสมอและวางกลยุทธ์อย่างรอบคอบในการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด
(4) เข้มงวดในการรักษาประสิทธิภาพของค่าใช้จ่ายในทุกโครงการ
(5) ให้น้ำหนักมากแก่การลงทุนและการขยายตัวของแรงงาน
มาเลเซีย :
(1) ผลิตแรงงานที่มีการศึกษาสูงให้มากที่สุด
(2) ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ และดำเนินโครงการเหล่านั้นอย่างต่อเนื่อง
(3) เน้นการประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่างภาครัฐและเอกชนในสาขาเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น น้ำมันและก๊าซ ระบบการเงิน การท่องเที่ยว และการศึกษา
(4) ให้ความสนใจแก่ทั้งปัจจัยภายในประเทศ (เช่น การศึกษา การลงทุน) และภายนอกประเทศ (เช่น การส่งออก FDI)
หากเปรียบเทียบประสบการณ์ของไทย จะพบว่าไทยยังอ่อนกว่าในแง่
(1) แรงงานน้อยและคุณภาพต่ำ ในขณะที่ค่าจ้างแรงงานสูง
(2) การลงทุนภายในประเทศยังน้อยเกินไปและไม่มองการณ์ไกลพอ
(3) การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) พร้อมทั้งความคืบหน้าทางด้านเทคโนโลยีหรือปัญญาประดิษฐ์ยังไม่เพียงพอ
(4) การประสานงาน (coordination) ระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐยังไม่คล่องตัว
(5) การปราบปรามอิทธิพลของคอร์รัปชันยังไม่ได้ผลเท่าที่ควร
(6) การขาดเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแนวนโยบายและ/หรือมาตรการของรัฐบ่อยครั้ง
สิ่งที่น่าสังเกตคือ จุดอ่อนข้อสุดท้ายนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ก่อให้เกิดความลังเลที่จะลงทุนในระยะยาว เพราะการลงทุนดังกล่าวต้องใช้ทั้งเวลาและพึ่งพาความต่อเนื่องของนโยบาย
เช่นเดียวกันกับการปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจในแง่ต่าง ๆ ได้แก่ การศึกษา การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การส่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยี รวมถึงการปรับปรุงระบบราชการและกฎหมาย
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 5 กันยายน 2568