สินค้าจีนไหลเข้าไทยเร่งตัวขึ้น "พาณิชย์" จับตากลุ่มยานยนต์ - อุปโภคบริโภค
สนค. เปิดผลศึกษา "การเบี่ยงเบนทางการค้า" หลังสหรัฐประกาศเก็บภาษีตอบโต้ พบสินค้าจีนเสี่ยงทะลักเข้าไทยสูงสุด เผย สินค้านำเข้าจากจีน 1,149 รายการ มี 24 รายการ เสี่ยงสูง ต้องจับตาเป็นพิเศษ สินค้าอีก 166 รายการ เป็นสินค้าเฝ้าระวัง ส่วนใหญ่เป็นสินค้ากลุ่มยานยนต์ - อุปโภคบริโภค
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยผลการศึกษา “การวิเคราะห์การเบี่ยงเบนทางการค้า : กรณีการไหลทะลักของสินค้าจีนหลังสหรัฐ กำหนดภาษีต่างตอบแทนจากไทย 19%”
ภายหลังสหรัฐได้ประกาศอัตราภาษีศุลกากรต่างตอบแทนใหม่เมื่อวันที่ 31 ก.ค.2568 โดยกำหนดอัตราภาษีสำหรับไทยที่ 19% แต่กำหนดอัตราของบางประเทศสูงกว่าไทย เช่น จีน (34%) ไต้หวัน (20%) เวียดนาม (20%) และอินเดีย (25%) ได้สร้างความเสี่ยงที่จะเกิดการเบี่ยงเบนทางการค้า (Trade Diversion) ซึ่งสินค้าจากประเทศที่ถูกเก็บภาษีในอัตราสูงอาจทะลักเข้ามาในตลาดไทยแทน

นางสาวณัฐิยา สุจินดา รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ผลการศึกษาพบ "จีน" เป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูงสุดที่จะเบี่ยงเบนเส้นทางการค้า และส่งออกสินค้าทะลักเข้ามายังประเทศไทย พร้อมเสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบายทั้งในระยะสั้น และระยะยาวเพื่อเตรียมการรับมือ
สถานการณ์ดังกล่าวแม้จะมีข้อดีในการเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภค และกระตุ้นการแข่งขัน แต่หากการไหลทะลักดังกล่าวรุนแรงเกินไปจะส่งผลเสียต่อภาคการผลิตภายในประเทศ โดยเฉพาะ SMEs ที่ไม่สามารถแข่งขันได้ จนนำมาสู่การลดกำลังการผลิต การจ้างงาน อีกทั้งยังส่งผลให้ขาดดุลการค้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง
ดังนั้น สนค.จึงได้ทำการศึกษาผลกระทบ และประเมินความเสี่ยงเพื่อเตรียมมาตรการรับมือเชิงรุก เพื่อให้ภาครัฐ และผู้ประกอบการไทยสามารถรับมือกับผลกระทบเชิงลบได้อย่างทันท่วงที
โดย สนค.ทำการศึกษาวิเคราะห์โอกาสการเบี่ยงเบนเส้นทางการค้า(Trade Diversion) โดยพิจารณาจากปัจจัย 6 ด้านหลัก ได้แก่
1)ช่องว่างอัตราภาษี และต้นทุน
2)โครงสร้างสินค้า และอุปสงค์
3)ห่วงโซ่อุปทาน และข้อตกลงการค้า
4)โลจิสติกส์ และภูมิศาสตร์
5)ปัจจัยด้านเศรษฐกิจมหภาค และอัตราแลกเปลี่ยน
6)นโยบายกำกับและการบังคับใช้
"จีน" ยังคงเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดที่จะมีการไหลทะลักของสินค้าเข้ามาในไทย เนื่องจากมีส่วนต่างอัตราภาษีกับไทยมากที่สุดถึง 15% ประกอบกับแรงกดดันจากสงครามการค้ากับสหรัฐ ปัญหากำลังการผลิตส่วนเกิน (Overcapacity) และการอุดหนุนจากภาครัฐที่ทำให้มีต้นทุนการผลิตต่ำ
นอกจากนี้ ความเชื่อมโยงในห่วงโซ่อุปทานที่มีอยู่เดิม และความสะดวกทางการค้าภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) ยิ่งเอื้อให้สินค้าจีนเข้าสู่ตลาดไทยได้ง่ายขึ้น
ข้อมูลเชิงประจักษ์จากการวิเคราะห์การไหลทะลักของสินค้าจากดัชนีการไหลทะลักของสินค้า (Spill-over Index) ยืนยันสถานการณ์การไหลทะลักของสินค้าจากจีน โดยค่าดัชนีได้พุ่งขึ้นจากระดับ 100 ในปี 2561 (ก่อนสงครามการค้าสหรัฐ-จีน) มาอยู่ที่ระดับสูงสุด 130 ในปี 2567 ภายในช่วง 7 ปี
ข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ถึงการไหลเข้าของสินค้าจีนที่เร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยกลุ่มสินค้าที่น่าจับตามองเป็นพิเศษ ได้แก่ กลุ่มยานพาหนะ และส่วนประกอบ กลุ่มสินค้าภาคอุตสาหกรรม และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค

รวมทั้งเพื่อชี้เป้าสินค้าที่มีความเสี่ยงสูง สนค.ได้พัฒนาระบบเตือนภัย (Warning System) ขึ้นโดยใช้ 3 ตัวชี้วัดสำคัญได้แก่ 1.ส่วนแบ่งนำเข้าจากจีน 2.อัตราการขยายตัวของมูลค่านำเข้า และ 3.ช่องว่างราคานำเข้า จากจีนมากกว่าช่องว่างราคาจากโลก
และจัดกลุ่มจำแนกตามความเสี่ยงการไหลทะลักของสินค้าจีนออกเป็น 5 ระดับ ได้แก่ สูง ค่อนข้างสูง เฝ้าระวัง ค่อนข้างเฝ้าระวัง และต่ำ ซึ่งผลการประเมินสินค้าที่ไทยนำเข้าจากจีนจำนวน 1,149 รายการ พบว่าส่วนใหญ่จำนวน 904 รายการ (78.7%) ยังอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงต่ำกลุ่มค่อนข้างเฝ้าระวัง 38 รายการ
อย่างไรก็ตาม มีสินค้า 24 รายการที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มความเสี่ยง “สูง”
17 รายการอยู่ในกลุ่ม “ค่อนข้างสูง”
และอีก 166 รายการอยู่ในกลุ่ม “เฝ้าระวัง”
สินค้ากลุ่มเสี่ยงไหลทะลักในระดับ “เฝ้าระวัง” และ “สูง” เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นสินค้าทุน และสินค้าอุตสาหกรรม ซึ่งแม้จะเป็นประโยชน์ต่อภาคการผลิตในเชิงต้นทุน และการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
แต่การพึ่งพิงการนำเข้าสินค้ากลุ่มนี้จากจีนในสัดส่วนที่สูงเกินไป ก่อให้เกิดความเสี่ยง และความเปราะบางต่อความผันผวนของราคา นโยบาย และข้อจำกัดด้านห่วงโซ่อุปทานที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ขณะเดียวกันสินค้าอุปโภคบริโภคที่แข่งขันโดยตรงกับผู้ผลิตในประเทศหลายรายการ เช่น สุรา กะหล่ำปลี เสื้อผ้า และเครื่องเรือนพลาสติก ก็ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 5 กันยายน 2568