เอกชนหนุนใช้ "คนละครึ่ง" ปลุกเศรษฐกิจฐานราก หลัง SMEs ส่อเจ๊งอื้อ
KEY POINTS :
* ภาคเอกชนสนับสนุนการนำมาตรการ "คนละครึ่ง" กลับมาใช้ เพื่อเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นและเพิ่มกำลังซื้อให้ประชาชน
* ชี้ว่าข้อดีของโครงการคือสามารถกระจายเม็ดเงินได้อย่างรวดเร็ว กว้างขวาง และลงลึกถึงเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการแก้ปัญหา
* เน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่กำลังเปราะบางและเสี่ยงต่อการปิดกิจการจำนวนมากหากไม่ได้รับการช่วยเหลือโดยเร็ว
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภายใต้รัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ว่า มาตรการ “คนละครึ่ง” ถือเป็นโครงการที่ดีในช่วงระยะสั้น โดยเป็นมาตรการหนึ่งในการเพิ่มกำลังซื้อด้วยการลดค่าใช้จ่ายเพื่อให้ประชาชนออกมาจับจ่ายใช้สอย
ทั้งนี้ ไทยเองก็มีแพตฟอร์มที่มีความพร้อม เพียงแต่อาจจะต้องมีการปรับเงื่อนไขเล็กน้อยเพื่อให้เหมาะกับการใช้งาน โดยข้อดีของมาตรการดังกล่าวคือการกระจายไปได้เร็ว กว้าง และลึก ซึ่งถือว่าเปนหัวใจสำคัญ เนื่องจากหลายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมา แม้ว่าจะมีเม็ดเงินจริงแต่เป็นการกระจุกตัว ไม่กระจายตัว

สำหรับวันนี้ปัญหาของไทยก็คือ รากหญ้า รวมถึงประชาชนทั้งประเทศที่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้รับอนิสงส์จากมาตกรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมา ดังนั้น จึงต้องสร้างให้เกิดกำลังซื้อ และทำให้เม็ดเงินดังกล่าวเหล่านี้ลงไปให้ลึกและกว้างที่สุด โดยเฉพาะในต่างจังหวัด
แม้กระทั้งเรื่องการท่องเที่ยวที่จะเป็นอีกหนึ่งเครื่องยนต์ที่สำคัญในครึ่งปีหลัง หรือช่วง 4 เดือนของรัฐบาล เพราะว่าเป็นช่วงไฮซีซั่น แม้ 6 เดือนแรกที่ผ่านมาจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามา แต่ต้องเทียบกับช่วง 6 เดือนของปีห่อนหน้า ซึ่งพบว่านักท่องเที่ยวหายไปเป็นจำนวนมาก
ดังนั้น ช่วง 6 เดือนหลังที่เป็นช่วงไฮซีซั่นรัฐบาลจะต้องรีบเร่งนำเม็ดเงินลงไปสู่เศรษฐกิจฐานราก เนื่องจากนักท่องเที่ยวจากตัวเลขเดิมที่เข้ามา การใช้จ่ายกระจุกตัวแค่ 5 จังหวัด และเป็นโรงแรมระดับ 4-5 ดาวของต่างประเทศ เม็ดเงินไม่ได้เป็นรายได้ของคนไทยเท่าใดนัก
“สิ่งที่พูดมาตลอดก็คือจะทำให้อย่างไรให้การท่องเที่ยวเมืองรองเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง เช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่น จีน ซึ่งประสบความสำเร็จ โดยที่เม็ดเงินเหล่านั้นไปเร็ว และลึกที่สุด ซึ่งจะทำให้โรงแรมในต่างจังหวัด ประชาชนจะได้ขายของที่ได้จากการเดินทาง และจับจ่ายใช้สอย ซึ่งมองว่านี่คือโรงแรม และธุรกิจของคนไทย 100%”
ส่วนการเพิ่มวงเงินเป็น 200 บาทตามข้อเสนอของภาคธุรกิจนั้น มองว่าเป็นการเพิ่มให้เหมาะสมตามสถานการณ์ ซึ่งในความคิดเห็นส่วนตัวนั้นเห็นด้วย หรือแม้กระทั่งมีการออกสูตรที่เรียกว่า 60 : 40 และ 50 : 50 ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะจากประสบการณ์ที่เคยมีโครงการดังกล่าวนี้มาก่อนหน้านั้น จึงมองว่าอะไรที่เป็นโครงการที่ดีสามารถนำกลับมาใช้ได้ทันที ไม่ต้องคิดใหม่ และมีข้อพิสูจน์แล้วว่าได้ผล เป็นที่นิยม เพราะฉะนั้นก็แค่นำมาปรับเงื่อนไขเล็กน้อยให้มีความเหมาะสม
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญก็คือจะต้องแม่นยำ กระจายให้ทั่วถึง ให้ลึกที่สุด และถึงมือผู้บริโภค รวมถึงพ่อค้า แม่ค้ารายย่อย เพราะวันนี้ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจถือเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ แต่คนที่ได้รับผลกะทบหนักที่สุดคือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SMEs) ซึ่งเปราะบางที่สุด
”เวลานี้ต้องเรียว่าหากปล่อยระยะเวลาให้เนิ่นนานออกไป เอสเอ็มอีจะอยู่ไม่ได้ และจะล้มหายตายจากไป เพราะฉะนั้นวันนี้จึงต้องรีบเร่งให้เร็วที่สุด“
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 10 กันยายน 2568