ศึกชิงความเป็นใหญ่ จีน-สหรัฐฯ ใครกำลังได้เปรียบ? เปิดมุมมอง ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร ชี้ใครนำ ใครตาม
KEY POINTS :
* สหรัฐฯ ยังคงมีความได้เปรียบด้านการทหารในภาพรวม แม้จีนจะแสดงแสนยานุภาพที่เพิ่มขึ้นเพื่อสร้างการป้องปรามและแสดงความมั่นใจ
* ปัจจัยตัดสินการแข่งขันในระยะยาวคือ “เทคโนโลยี” ซึ่งจีนกำลังเร่งพัฒนาอย่างเต็มที่เพื่อก้าวขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิง แม้ในระยะสั้นสหรัฐฯ จะได้เปรียบด้านเศรษฐกิจ
* โลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุคหลายขั้วอำนาจ โดยจีนพยายามผนึกกำลังกับชาติอื่น เช่น รัสเซีย เพื่อทัดทานอิทธิพลของสหรัฐฯ ที่เคยเป็นขั้วอำนาจเดียว
พิธีแสดงแสนยานุภาพทางทหารของจีนเมื่อวันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา ดึงความสนใจจากทั่วโลกมากขึ้นเมื่อผู้นำจีน สี จิ้นผิง ปรากฏตัวร่วมกับ วลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย และ คิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ภาพนี้ถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองสำคัญ และสะท้อนถึงความพยายาม “ผนึกกำลัง” เพื่อตอบโต้และทัดทานอิทธิพลของสหรัฐอเมริกาอย่างชัดเจน

ผศ.ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร จากคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีตผู้อำนวยการศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ไทย-จีน ให้สัมภาษณ์กับ ฐานเศรษฐกิจ ว่า แม้พิธีนี้จะจัดขึ้นตามวาระที่เคยมีมาแล้ว แต่บริบทโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความปั่นป่วนทางภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้ทุกการเคลื่อนไหวของจีนถูกจับตามองอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะการแสดงขีดความสามารถด้านอาวุธและยุทโธปกรณ์ ที่สะท้อนว่าจีนพัฒนาศักยภาพขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ในเชิงยุทธศาสตร์ การออกมาโชว์อาวุธครั้งนี้คือการสร้าง “การป้องปราม” ให้คู่แข่งต้องคิดให้รอบคอบก่อนจะเผชิญหน้าทางทหารกับจีน ดร.อาร์มชี้ว่า แม้จีนจะก้าวหน้าอย่างมาก แต่เมื่อเทียบกับสหรัฐฯ ในภาพรวมด้านการทหารแล้ว สหรัฐฯ ยังคงได้เปรียบอยู่ อย่างไรก็ตาม จีนสามารถแสดงให้โลกเห็นถึงความพร้อมและความมั่นใจที่มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หากมองไปที่การแข่งขันในมิติอื่น ดร.อาร์มวิเคราะห์ว่า ในระยะสั้น สหรัฐฯ ดูจะได้เปรียบด้านเศรษฐกิจและการค้า แต่ปัจจัยที่จะเป็นตัวตัดสินเกมระยะยาวคือ “เทคโนโลยี” ซึ่งจะเป็นสนามแข่งขันที่ยืดเยื้อหลายสิบปี ไม่ใช่เพียงช่วงสั้นๆ 2-5 ปี และในประเด็นนี้ จีนกำลังเร่งเครื่องอย่างเต็มที่เพื่อก้าวขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงอันดับหนึ่ง
ในด้านภาวะผู้นำ บุคลิกและแนวทางของสองผู้นำก็แตกต่างกันอย่างชัดเจน ดร.อาร์มอธิบายว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ มีลักษณะการตัดสินใจที่คาดเดายาก นโยบายขึ้นลงผันผวน และมักเน้นผลประโยชน์ระยะสั้น ในขณะที่ สี จิ้นผิง มีความเสถียรและต่อเนื่องทางนโยบาย มุ่งเน้นการวางแผนระยะยาว แม้อาจถูกมองว่าเศรษฐกิจจีนอ่อนแรงในปัจจุบัน แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของการปรับตัวเชิงโครงสร้างเพื่ออนาคต
ภาพที่จีนเลือกนำเสนอในการจัดงานยังสะท้อน “ยุคหลายขั้วอำนาจ” ที่แตกต่างจากช่วงหลังสงครามเย็นที่สหรัฐครองบทบาทขั้วเดียว ดร.อาร์มชี้ว่า แม้จีนจะไม่ได้ประกาศว่าเป็นพันธมิตรกับรัสเซียหรือเกาหลีเหนืออย่างเป็นทางการ แต่ภาพที่ปรากฏชัดคือ กลุ่มประเทศที่ไม่เห็นด้วยกับสหรัฐฯ กำลังขยับเข้ามาอยู่ในวงเดียวกันมากขึ้น
การแสดงแสนยานุภาพยังมีมิติของ “ชาตินิยม” ภายในประเทศจีน เพราะนอกจากจะส่งสารถึงสหรัฐฯ และโลกภายนอกแล้ว ยังเป็นการสร้างความภาคภูมิใจและความมั่นใจให้กับประชาชนจีนว่า ประเทศไม่ได้หวั่นเกรงภัยคุกคามจากภายนอก
สำหรับอาเซียนและไทย ดร.อาร์มมองว่า ขณะนี้ภูมิรัฐศาสตร์โลกเต็มไปด้วยความผันผวน ไทยจึงต้องสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน และปรับตัวในโลกที่ไม่ใช่ศึกระยะสั้น แต่เป็นการแข่งขันระยะยาวหลายสิบปี ระหว่างมหาอำนาจในระบบที่กำลังเปลี่ยนไปสู่ความหลากหลายของขั้วอำนาจ ประเทศไทยและอาเซียนจึงต้องรักษาสมดุลและเลือกจุดยืนที่สร้างความมั่นคงให้ตนเองมากที่สุด
การแข่งขันระหว่างจีนและสหรัฐฯ จึงไม่ใช่เพียงเกมชั่วคราว แต่คือการเปลี่ยนสมการโลกที่ยืดเยื้อยาวนาน ซึ่งทุกประเทศ รวมถึงไทย จะต้องหาทางอยู่ให้ได้ท่ามกลางศึกชิงความเป็นใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์นี้
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 12 กันยายน 2568