เสถียรภาพรัฐบาล-เศรษฐกิจงานยากนายกฯ "อนุทิน"
รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของอนุทิน ชาญวีรกูล จะต้องยอมรับข้อมูลเศรษฐกิจของประเทศไทยที่กำลังเผชิญความท้าทายจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่เห็นชัดจากการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า และภาคการท่องเที่ยวที่เจอปัญหารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง
โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุล่าสุดปลายเดือน ส.ค.2568 ว่าต้องติดตามผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐ รวมถึงพัฒนาการภาคการท่องเที่ยว และผลกระทบการค้าและการท่องเที่ยวบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
สำหรับนโยบายระยะสั้น รัฐบาลจำเป็นต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็ว เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว การเพิ่มกำลังซื้อของประชาชนผ่านมาตรการต่าง ๆ ซึ่งนายกรัฐมนตรีประกาศกรอบนโยบายที่สอดคล้องกับสถานการณ์รัฐบาลที่อยู่ไม่นาน โดยพร้อมปรับนโยบายจากรัฐบาลอื่นมาใช้ เช่น มาตรการคนละครึ่งที่ได้ผลในการช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชนและร้านค้าขนาดเล็ก
ส่วนนโยบายระยะยาว ถึงแม้รัฐบาลจะอยู่ไม่นานก็มีความเป็นที่จะต้องมองการเตรียมการสำหรับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงการปรับโครงสร้างภาคเกษตรกรรมที่ต้องเพิ่มผลิตภาพการผลิต ในขณะที่ภาคบริการโดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่หมดยุคกินบุญเก่า และการปรับโครงสร้างภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้ภาคการผลิตตอบสนองความต้องการของตลาดโลก ซึ่งทำให้รัฐบาลใหม่ต้องโฟกัสการเตรียมปรับโครงสร้างภาคอุตสาหกรรมให้มากไปกว่าที่เคยทำในอดีต
การมีเสถียรภาพของรัฐบาลประเด็นที่หลายฝ่ายให้ความสำคัญเพราะเกี่ยวข้องกับการอยู่รอดของรัฐบาล โดยผลสำรวจล่าสุดของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เรื่อง“รัฐบาลเสียงข้างน้อย” เกี่ยวกับความคิดเห็นของประชาชนต่อรัฐบาลเสียงข้างน้อยภายใต้การนำของนายอนุทิน โดยประชาชนส่วนใหญ่ของกลุ่มตัวอย่าง 35.88% มองว่ารัฐบาลจะไม่มีเสถียรภาพทำงานด้วยความยากลำบากเพราะต้องเจรจากับพรรคประชาชนตลอด ซึ่งแน่นอนว่าการทำงานของรัฐบาลนายอนุทินจะมีความยากมากขึ้นอีก
ความท้าทายที่รัฐบาลใหม่เผชิญในขณะนี้จึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องบริหารสถานการณ์ระยะสั้นที่ครอบคลุมทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจและการรักษาเสถียรภาพของรัฐบาล ในขณะเดียวกันรัฐบาลนายอนุทินต้องไม่ปฏิเสธมาเตรียมการสำหรับอนาคตของประเทศไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมถึงการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ซึ่งต้องใช้ความกล้าหาญของการเป็นผู้นำประเทศ และความกล้าหาญทางจริยธรรมเพื่อรับมือกับปัจจัยที่จะต้องเผชิญดังกล่าวให้ได้
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 15 กันยายน 2568