นักวิชาการชี้เงินบาทแข็งเร็วฉุดส่งออกไตรมาส 4 ติดลบ-เสี่ยงเงินฝืด
KEY POINTS :
* นักวิชาการชี้ว่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงจะส่งผลให้ตัวเลขการส่งออกในไตรมาสที่ 4 ขยายตัวติดลบ
* สถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นยังเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับภาวะเงินฝืดมากยิ่งขึ้น
* ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เงินบาทแข็งค่ามาจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย และการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จากคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย
* เสนอให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ควบคู่กับการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาท
นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์ค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วและแรงจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโดยภาพรวม ภาคส่งออกและภาคการท่องเที่ยว อาจทำให้ตัวเลขส่งออกขยายตัวติดลบได้ในช่วงไตรมาสสี่ เพิ่มความเสี่ยงของภาวะเงินฝืดมากยิ่งขึ้น
การเร่งรัดอัดฉีดการใช้จ่ายภาครัฐผ่านมาตรการต่างๆมีความจำเป็น และต้องดำเนินการควบคู่กับการเพิ่มปริมาณเงินและลดอัตราดอกเบี้ย การดำเนินการผ่อนคลายทั้งมาตรการทางการเงินและการคลัง นอกจากจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว ยังช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาท
การส่งออกทองคำไม่ใช่ปัจจัยกดดันหลักให้เงินบาทแข็งค่า สำหรับแนวคิดการกำหนดให้มีการซื้อขายทองด้วยเงินบาท อาจถูกเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะ แต่ซื้อขายทองคำด้วยดอลลาร์ จะได้รับการยกเว้นภาษี แนวคิดดังกล่าวอาจไม่ได้ช่วยชะลอการแข็งค่าเงินบาทมากนัก การเพิ่มปริมาณเงินบาทในระบบจะช่วยชะลอการแข็งค่าได้ดีกว่า
ทิศทางการแข็งค่าของเงินบาทจากการเกินดุลการค้าและการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด รวมทั้งเงินทุนระยะสั้นไหลเข้าเก็งกำไรในตลาดการเงินแล้วได้รับการเสริมให้รุนแรงขึ้นจากการอ่อนตัวของค่าเงินดอลลาร์ การอ่อนตัวของดอลลาร์สหรัฐฯสะท้อนตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงอย่างชัดเจน ประกอบกับ มีการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด (FED) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ก็ยิ่งทำให้มีการโยกเงินทุนออกจากการถือครองดอลลาร์และพันธบัตรสหรัฐฯมาถือสินทรัพย์ทางการเงินในสกุลอื่นๆมากขึ้น ถือทองคำและสินทรัพย์อื่นๆมากขึ้น
หากการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯในวันที่ 16-17 ก.ย. นี้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% มีความเป็นไปได้ที่จะทำให้ เงินบาทแข็งค่าทดสอบระดับ 30.50-31.00 บาทต่อดอลลาร์ได้
ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯขณะนี้เป็นเพียงการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากลัทธิกีดกันทางการค้าจากภาษีทรัมป์ ยังไม่ได้มีสัญญาณใดๆที่จะเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินและเศรษฐกิจถดถอยแบบวิกฤตซับไพร์ม (Subprime Crisis) ในเร็วๆ นี้
อย่างไรก็ตาม การกีดกันการค้าจากภาษีทรัมป์และมาตรการกีดกันคนเข้าเมืองจะส่งผลกระทบอันซับซ้อนต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯในระยะยาว ทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น คุณภาพชีวิตแย่ลง การเก็บภาษีนำเข้าในอัตราสูงเท่ากับเป็นการบังคับให้สหรัฐฯผลิตสินค้าที่แทนที่ควรจะนำเข้าเพราะถูกกว่า ไม่ก่อให้เกิดประสิทธิภาพและลดมาตรฐานการครองชีพของประชาชน ขณะที่ การเข้มงวดกับแรงงานเข้าเมืองทำให้เกิดการขาดแคลนแรงงานในภาคเกษตรกรรมและภาคก่อสร้าง
ตอนที่สหรัฐฯเผชิญกับปัญหาวิกฤตการณ์ทางการเงินซับไพร์มและเศรษฐกิจถดถอยนั้น ธนาคารกลางสหรัฐฯได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงถึง 10 ครั้งในช่วงปี พ.ศ. 2551-2552 จากดอกเบี้ยนโยบาย 5.25% ลงมาเหลือ 0% แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาวิกฤติ มีการผ่อนคลายอัตราการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องให้แก่สถาบันการเงิน มีการให้วงเงินกู้ยืมระยะสั้น มีการทำธุรกรรมสวอป (Swap) กับธนาคารกลางประเทศต่างๆเพื่อสกัดกั้นการล้มละลายของสถาบันการเงิน มีการเข้าซื้อสินทรัพย์ต่างๆจากภาคเอกชนที่มีปัญหา
สถานการณ์ขณะนี้เป็นเพียงการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯเท่านั้น การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากระดับ 4.5% ลงมาสู่ระดับ 3% ในช่วงกลางปีหน้าน่าจะเพียงพอ สหรัฐอเมริกามีหนี้สาธารณะสูงถึง 36.2 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็น 122% ของจีดีพี และต้องขยายเพดานหนี้สาธารณะเป็นระยะๆ นักลงทุนจะทยอยลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปัจจัยดังกล่าวจะกดดันให้แนวโน้มดอลลาร์สหรัฐฯยังคงอ่อนค่าในระยะยาว
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 16 กันยายน 2568