ส.อ.ท.ชงนายกฯ 6 ข้อฟื้นฟู ศก. เงินบาทต้องอ่อน-ขอ MiT หักภาษีได้ 2 เท่า
ส.อ.ท.พบนายกฯใหม่ ชง 6 ข้อให้เร่งแก้ ทั้งสานต่อเจรจาภาษีทรัมป์ ช่วยเอสเอ็มอี ลดต้นทุนพลังงาน จนถึงดูแลบาทไม่ให้แข็ง แนะอัตราเหมาะสมที่ 34-35 บาท/ดอลล์ วอนรัฐบาลใหม่หนุนเมดอินไทยแลนด์ (MiT) ให้หักภาษีได้ 2 เท่า ช่วยแก้ปัญหา RVC ทางอ้อม ด้าน “อนุทิน” ยันยังไม่เปิดด่านไทย-กัมพูชา สั่งคลังดูแลบาท-ส่งออกทอง
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวภายหลังการประชุมหารือร่วมกับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ถึงแนวทางความร่วมมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทยว่า สิ่งที่เอกชนเรียกร้องเมื่อมี ครม.เรียบร้อยแล้ว คือ ขอให้ทำงานทันที เพราะทุกนาทีมีความหมาย
โดยข้อเรียกร้อง 6 ข้อ ประกอบด้วย
1)การเจรจาภาษีทรัมป์ในรายละเอียดเรื่องเกณฑ์การคำนวณสัดส่วนมูลค่าการผลิตในประเทศและภูมิภาค (Reginal Value Content หรือ RVC) ที่ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ ส.อ.ท. และ กกร.ต้องเจรจาว่า สหรัฐจะใช้มาตรฐานใด อุตสาหกรรมใด ทำได้และทำไม่ได้ ในส่วนของรัฐบาลไทยจะมีมาตรการเยียวยาอย่างไร
2)ปัญหาเทรดวอร์ ซึ่งเป็นสงครามการค้าที่เกิดขึ้นต่อเนื่องและส่งผลให้เกิดการไหลทะลักเข้ามาของสินค้าราคาถูกกระทบต่อ SMEs จาก 22 กลุ่ม เป็น 24 กลุ่ม และหากปี 2568 รัฐยังไม่มีมาตรการที่เหมาะสม เชื่อว่าผลกระทบจะขยายเพิ่มเป็น 30 กลุ่ม 3.การช่วยเหลือ SMEs เพราะเป็นกลุ่มเปราะบางที่สุด บวกกับหนี้ครัวเรือน การเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ยาก จึงขอให้รัฐช่วยแฮร์คัตหนี้ รวมทั้งให้แบงก์เฉพาะกิจขยายวงเงินสินเชื่อให้มากขึ้น
3)การค้าชายแดนไทยกับกัมพูชา ซึ่งส่งผลกระทบต่อซัพพลายเชน แม้ผู้ประกอบการจะพยายามแก้ปัญหากันเอง แต่ยอมรับว่าต้องแบกภาระต้นทุนที่สูงมาก ซึ่งเอกชนเข้าใจเรื่องความมั่นคง อธิปไตย และยึดหลักการเจรจาให้ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม ภาครัฐควรมีมาตรการเยียวยาให้ผู้ประกอบการเหล่านี้ยังสามารถอยู่ได้ในช่วงที่กำลังเจรจา
4)เมดอินไทยแลนด์ (Made in Thailand หรือ MiT) คือ อีกหนึ่งมาตรการที่ต้องเร่งทำต่อ หากดูจากหลาย ๆ ประเทศ ซึ่งได้ใช้นโยบายกีดกันทางการค้าด้วยการกำหนดสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศ ดังนั้นการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐจะเป็นตัวสำคัญ จากเดิมการจัดซื้อของรัฐจะคัดเลือกที่ราคาถูกที่สุด แต่สินค้าไทยไม่ใช่สินค้าที่ถูกที่สุด จึงทำให้เงินไหลออกต่างประเทศ ซึ่งเงินในส่วนนี้ควรหมุนเวียนในไทย การสร้างแต้มต่อด้วยนโยบายเมดอินไทยแลนด์จึงควรมี และบางประเทศรัฐมีการชดเชยให้ ดังนั้นไทยก็ควรต้องทำ
“ตั้งแต่ปี 2566 เรามีแต้มต่อเรื่องนี้ แค่รัฐจัดซื้อแค่ 15% มูลค่าก็แสนล้านบาทแล้ว แต่ในปี 2567 สัดส่วนลดลง รัฐต้องกลับไปดูเรื่องนี้เพื่อไม่ให้เป็นภาระคลัง เราก็ขอให้รัฐสนับสนุนจาก 5% เป็น 10-20% ในระยะสั้นเชื่อว่าจะทำให้มีมูลค่าถึง 102,000 ล้านบาท ไม่ใช่ต้องให้ SMEs ปิดกิจการแล้วไปใช้วิธีซื้อจากต่างประเทศ ซึ่งหน่วยงานรัฐควรออกระเบียบให้เอกชนจัดซื้อสินค้าเมดอินไทยแลนด์ โดยสามารถนำไปหักภาษีได้ 2 เท่าในช่วงปลายปี และอนาคตกำหนดเมดอินไทยแลนด์เพื่อการส่งออก ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาทางอ้อมเรื่อง RVC”
5)การลดต้นทุนพลังงาน อย่างไรก็ตาม ส.อ.ท.ไม่เห็นด้วยกับบางแนวทางที่จะให้เอกชนหันไปใช้ก๊าซนำเข้าจากต่างประเทศ แม้จะแก้ปัญหาค่าไฟได้ แค่ลดได้แค่ 2-3% ในขณะที่ต้นทุนเพิ่มถึง 58% เป็นการได้ไม่คุ้มเสีย ในขณะที่ไทยเองก็จะอ่อนแอลง แข่งขันไม่ได้เลย
“อะไรที่ดีอยู่ให้ทำต่ออย่างมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) ส่วนกรมศุลกากรจะตรวจยังไงไม่ให้มีการลักลอบหรือสำแดงเท็จ การขนส่งเข้าทางชายแดน ก็ต้องตรวจมากขึ้น”
6)ค่าเงินบาท ซึ่งขณะนี้ไทยกำลังอ่อนแอลง ผลพวงมาจากค่าเงินที่ผันผวนมาก โดยอ่อนค่าลงแรง หรือแข็งค่าแบบกะทันหัน ทั้งนี้ ที่ผ่านมาเงินบาทไทยแข็งค่าถึง 8% รองจากไต้หวัน แม้ว่าไทยจะได้ภาษีทรัมป์ที่ 19% แต่หากรวมการส่งออกบวกค่าเงินแล้ว จะกลายเป็น 27% ในขณะที่เวียดนามโดนภาษีทรัมป์ 20% แต่ค่าเงินด่องลงไปถึง 3% จะกลายเป็น 17%
นั่นแสดงว่าขีดความสามารถของไทยกับเรื่องต้นทุนการส่งออกที่พึ่งพาตลาดต่างประเทศ 60% กำลังฉุดรายได้และเศรษฐกิจไทยอย่างมาก และคาดว่าไตรมาสสุดท้าย หากการท่องเที่ยวไทยพลาดเป้า 32 ล้านคน ยิ่งตอกย้ำเศรษฐกิจมากขึ้น
“อยากเห็นค่าเงินบาทที่ 34-35 บาทต่อดอลลาร์ เป็นอัตราที่สมดุลระหว่างการส่งออกและนำเข้า เพราะมันต้องดูบริบทให้เหมาะสม โดยเฉพาะบาทอ่อนเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว สำหรับวันนี้ นายกฯรับปากว่าจะทำงานกับเอกชนให้เร็วและมากที่สุด เขารู้ว่าอุตสาหกรรมเป็นส่วนสำคัญของ GDP และรัฐบาลชุดนี้ทำงานเชิงรุก คุณสมบัติเป็นทั้งนักธุรกิจและนักการเมือง ทำให้มีแนวคิดตรงกันและมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน เชื่อว่า 4 เดือนนี้ต้องดีขึ้น แต่จะดีมากไหมอยู่ที่ว่าทำเรื่องไหนสำเร็จก่อน”
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลังการหารือกับภาคเอกชนได้รับทราบถึงหลายปัญหา โดยเฉพาะปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้มีคำสั่งเปิดด่าน ซึ่งการจะเปิดต้องเป็นฝั่งไทยเป็นผู้กำหนด ส่วนเรื่องเงินบาทที่แข็งค่าจะหารือ ส.อ.ท. และกระทรวงการคลังเพิ่มเติม การส่งออกทองคำกำลังให้หาข้อเท็จจริง ถ้ามีอะไรผิดปกติก็จะต้องสั่งดำเนินการตามกฎหมาย
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจยังไม่ได้เข้ามาบริหาร ตอนนี้คือเตรียมพร้อม เมื่อบริหารเต็มตัวแล้วจะทำให้เร็วที่สุด ส่วนแลนด์บริดจ์ต้องฟังทุกฝ่าย 4 เดือนจะทันหรือไม่นั้น ต้องดูทั้งมิติการลงทุนคุ้มหรือไม่ ดูอนาคตด้วย การทำให้เศรษฐกิจโตต้องดูหลายมิติรวมกัน
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 19 กันยายน 2568