ฟิทช์ เรทติ้งส์ หั่นมุมมองเครดิตไทยเป็น "เชิงลบ"
ฟิทช์ เรทติ้งส์ หั่นมุมมองเครดิตไทยลงเป็น "เชิงลบ" จากมีเสถียรภาพ อ้างความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อฐานะการเงินภาครัฐ ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อและแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอลง แต่ยังคงอันดับเครดิตที่ BBB+
ฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลกปรับลดมุมมองเครดิตของประเทศไทยลงเป็นลบจากมีเสถียรภาพ มาจากปัจจัยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อฐานะการเงินของภาครัฐ ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อและแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอลง และคงอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ “BBB+”
กันชนด้านการคลังของไทยลดลงเรื่อยมา โดยหนี้สาธารณะรวมเพิ่มขึ้นแตะระดับ 59.4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในเดือนสิงหาคม (ใกล้เคียงกับค่ามัธยฐาน “BBB”) หลังจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่และความล่าช้าในการดำเนินการมาตรการรัดเข็มขัดทางการคลัง
ฟิทช์กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวนมากที่ยังคงดำเนินอยู่ ความล่าช้าในในการรัดเข็มขัดทางการคลังตามแผน และความไม่แน่นอนของกลยุทธ์ทางการคลัง ล้วนเป็นความเสี่ยงต่อแนวโน้มการคลังในระยะกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับต่ำและแรงกดดันด้านประชากรที่ทวีความรุนแรงขึ้น
เงินบาทยังคงอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในวันนี้ โดยซื้อขายใกล้ระดับต่ำสุดในรอบสองสัปดาห์ ค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าขึ้นเกือบ 7% ในปีนี้ หลังจากที่แข็งสูงสุดในรอบสี่ปีไปเมื่อต้นเดือนกันยายน
คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเพียงประมาณ 2% ในปีนี้ ซึ่งน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของตัวเลขคาดการณ์ของอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ เนื่องจากต้องเผชิญกับมาตรการภาษีนำเข้าจากสหรัฐ 19% ซึ่งทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง หนี้ครัวเรือนที่สูง และค่าเงินบาทที่แข็งค่า
“มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวนมากที่ยังคงดำเนินอยู่ ความล่าช้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าในการดำเนินมาตรการรัดเข็มขัดทางการคลัง และความไม่แน่นอนของกลยุทธ์ทางการคลัง ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อแนวโน้มทางการคลังในระยะกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำและแรงกดดันด้านประชากรที่ทวีความรุนแรงขึ้น” ฟิทช์ระบุในแถลงการณ์
ฟิทช์กล่าวว่า แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยถูกศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาให้พ้นจากตำแหน่งเมื่อต้นเดือนกันยายน จากบทสนทนาทางโทรศัพท์กับฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในช่วงที่ความตึงเครียดชายแดนสองประเทศอยู่ในระดับสูง ในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม
คำมั่นสัญญาของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีที่จะประกาศการเลือกตั้งภายในสี่เดือน อาจนำไปสู่แรงกดดันด้านการใช้จ่ายในระยะสั้นและเพิ่มความไม่แน่นอนด้านนโยบาย และคาดว่ารัฐบาลเสียงข้างน้อยจะใช้พื้นที่ส่วนใหญ่เท่าที่มีอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์นโยบายการคลัง ซึ่งจะนำไปสู่การขาดดุลงบประมาณ 4.6% ของ GDP ในปีงบประมาณปัจจุบัน และ 4.3% ในปีงบประมาณถัดไป
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 24 กันยายน 2568