SCO 2025 เส้นทางสู่ความมั่นคง และการพัฒนาของซีกโลกใต้
ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรงในหลายภูมิภาค การหันไปใช้นโยบายแบบฝ่ายเดียวตลอดจนแนวคิดชาตินิยมทางเศรษฐกิจส่งผลให้ระเบียบโลกที่มีอยู่เริ่มสั่นคลอนและเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ และเป็นปัจจัยที่บั่นทอนหลักการพหุภาคีนิยม อันเคยเป็นรากฐานสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศมาหลายทศวรรษ
ท่ามกลางพลวัตที่เปลี่ยนแปลงไป กลุ่มประเทศซีกโลกใต้ หรือ Global South มีความโดดเด่นมากขึ้นในเวทีระหว่างประเทศทั้งในแง่ของการมีส่วนร่วมและอิทธิพลต่อทิศทางของระเบียบโลก ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนในการประชุม สุดยอดองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO Summit) ประจำปี 2025 ที่เมืองเทียนจิน เมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยมีจีน แกนนำสำคัญของกลุ่มประเทศซีกโลกใต้ เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมและมีผู้นำจากกว่า 20 ประเทศเข้าร่วม รวมถึงประเทศยักษ์ใหญ่อย่างรัสเซียและอินเดีย
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้เผยวิสัยทัศน์ที่แสดงให้เห็นถึงเส้นทางอื่นๆ ของระเบียบโลกยุคใหม่ โดยได้เสนอ ข้อริเริ่มว่าด้วยการกำกับดูแลโลก (Global Governance Initiative: GGI) พร้อมกล่าวว่าเป็นแนวทางที่ยุติธรรมและมีความเท่าเทียม ซึ่งจะก่อให้เกิดชุมชนแห่งอนาคตร่วมกันของมวลมนุษยชาติ

ประการแรก ประชาคมโลกต้องยึดมั่นในหลักการความเสมอภาคทางอธิปไตยและรักษาไว้ซึ่งความเสมอภาคของทุกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ มีความเข้มแข็งหรือมั่งคั่งเพียงใด ล้วนเป็นผู้มีส่วนร่วม ผู้ตัดสินใจ และผู้ได้รับประโยชน์จากการกำกับดูแลโลกอย่างเท่าเทียม เราควรส่งเสริมประชาธิปไตยระหว่างประเทศให้มากขึ้น และเพิ่มสัดส่วนกับเสียงของประเทศกำลังพัฒนา
ประการที่สอง ประชาคมโลกต้องยึดหลักนิติธรรมระหว่างประเทศ วัตถุประสงค์และหลักการในกฎบัตรสหประชาชาติ รวมถึงบรรทัดฐานอื่นๆ ในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล กฎหมายและกฎระเบียบระหว่างประเทศควรได้รับการบังคับใช้อย่างเท่าเทียมและสม่ำเสมอ โดยไม่ควรมีการปฏิบัติอย่างสองมาตรฐาน อีกทั้ง กฎเกณฑ์ภายในของประเทศใดประเทศหนึ่งจะต้องไม่ถูกนำมากำกับประเทศอื่นๆ
ประการที่สาม ต้องยึดถึอในหลักการพหุภาคีนิยม โดยควรส่งเสริมวิสัยทัศน์ธรรมาภิบาลโลกที่มีกรอบการพูดคุยให้คำปรึกษา และความร่วมมือระหว่างกันเพื่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกัน และต่อต้านเอกภาคนิยม ควรปกป้องสถานะและอำนาจของสหประชาชาติอย่างมั่นคง เพื่อให้มั่นใจว่าบทบาทของสหประชาชาติในการกำกับดูแลโลกจะไม่สามารถแทนที่ได้
ประการที่สี่ ควรส่งเสริมแนวทางที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยควรปฏิรูปและปรับปรุงระบบการกำกับดูแลโลก เพื่อให้ประชาชนของทุกชาติเป็นผู้มีบทบาทและได้รับประโยชน์จากการกำกับดูแลโลก เพื่อให้สามารถจัดการกับความท้าทายร่วมกันของมวลมนุษยชาติได้ดีขึ้น ลดช่องว่างระหว่างประเทศซีกโลกเหนือและซีกโลกใต้ ประกอบกับปกป้องผลประโยชน์ร่วมกันของทุกประเทศ
ประการที่ห้า ต้องดำเนินการอย่างแท้จริง โดยควรใช้แนวทางแบบองค์รวมและเป็นระบบ ประสานการดำเนินการทั่วโลก ระดมทรัพยากรต่างๆ อย่างเต็มที่ มุ่งมั่นเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น และส่งเสริมความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรม เพื่อป้องกันไม่ให้ระบบการกำกับดูแลโลกมีความล้าสมัยหรือกระจัดกระจาย
ขณะที่ระเบียบโลกเดิมกำลังประสบกับความไม่มั่นคงครั้งใหญ่ และประเทศซีกโลกใต้ก็เผชิญกับความท้าทายรูปแบบใหม่ ที่ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อประเทศของตน การประชุม SCO ในปีนี้กลายเป็นเวทีสำคัญในผลักดันการแก้ไขปัญหา ตลอดจนสาขาที่จะช่วยส่งเสริมการพัฒนาในประเทศ
นายหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศจีน แถลงผลการประชุมว่า มีการร่างยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาในช่วงเวลา 10 ปี ซึ่งระบุอย่างชัดเจนว่าประเทศสมาชิกจะยึดมั่นในจิตวิญญาณเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Spirit) มุ่งมั่นในการร่วมมือเพื่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกัน ช่วยเหลือกันเพื่อให้เกิดผลสำเร็จ และมีส่วนร่วมมากขึ้นในการสร้างโลกพหุนิยม โดยต้องสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคีที่มีองค์การการค้าโลก (WTO) เป็นแกนกลางและรักษาความเปิดกว้างของเศรษฐกิจโลก พร้อมกับร่วมเรียกร้องการกระทำที่ขัดต่อหลักการของ WTO ไปจนถึงการใช้อำนาจความไปใหญ่ เศรษฐกิจ ท่ามกลางคลื่นของการใช้อำนาจฝ่ายเดียวและการรังแกที่กลับมาอีกครั้ง
นอกจากนั้น มีการเปิดตัวศูนย์ความมั่นคง 4 แห่งอย่างเป็นทางการ โดยผู้นำของประเทศสมาชิก SCO ได้ลงนามในข้อตกลงจัดตั้งศูนย์สากล SCO เพื่อการต่อต้านความท้าทายและภัยคุกคามด้านความมั่นคง, ศูนย์ความมั่นคงข้อมูลสารสนเทศ, ศูนย์ต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ และศูนย์ต่อต้านยาเสพติด ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถของรัฐสมาชิกในการรับมือกับภัยคุกคามและความท้าทายใหม่ๆ อย่างครอบคลุม รวมทั้งส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค
นายหวัง อี้กล่าวด้วยว่า มีการจัดตั้งธนาคารเพื่อการพัฒนา SCO ซึ่งจีนเป็นผู้เสนอแนวคิดในการจัดตั้งธนาคารเพื่อการพัฒนานี้มานานกว่าทศวรรษที่ผ่านมา และได้กลายเป็นความจริงแล้ว SCO จะเริ่มการดำเนินงานโดยจะมีการเพิ่มกรอบความร่วมมือใหม่ในภูมิภาคยูเรเซีย ซึ่งจะส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไปจนถึงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของสมาชิก SCO ด้วย
อีกทั้ง ยังมีการสร้างกรอบความร่วมมือเชิงปฏิบัติการจำนวน 6 สาขา โดยมีการจัดตั้งเวทีความร่วมมือ 3 สาขาระหว่างจีนกับ SCO ในด้านพลังงาน อุตสาหกรรมสีเขียว และเศรษฐกิจดิจิทัล พร้อมกับจัดตั้งศูนย์ความร่วมมืออีก 3 สาขา ประกอบไปด้วย นวัตกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การศึกษาระดับอุดมศึกษา และการศึกษาอาชีวศึกษาและเทคนิค โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างโอกาสให้ประเทศสมาชิกสามารถใช้ประโยชน์จากการพัฒนาของจีน และเสริมสร้างพลังการขับเคลื่อนให้กับการพัฒนาอย่างยั่งยืนในภูมิภาค
ยิ่งไปกว่านั้น ที่ประชุมได้ออกแถลงการณ์ร่วม 5 ฉบับเกี่ยวกับการส่งเสริมการพัฒนาพลังงานอย่างยั่งยืน อุตสาหกรรมสีเขียว เศรษฐกิจดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ และความร่วมมือด้านนวัตกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นอกจากนี้ยังมีแผนปฏิบัติการเพื่อการพัฒนาคุณภาพสูงของความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า ภายใต้กรอบความร่วมมือ SCO จำนวน 6 แผนการ ซึ่งเป็นแนวทางพัฒนาคุณภาพสูงที่ครอบคลุม โดยผสมผสานกำลังการผลิตคุณภาพใหม่ การค้าและการลงทุน รวมถึงความร่วมมือในห่วงโซ่อุตสาหกรรม
การประชุม SCO ในปี 2025 นี้ยังเป็นปีแรกที่มีการรวมประเทศผู้สังเกตการณ์และคู่เจรจาของ SCO เป็นหุ้นส่วนของ SCO หรือ SCO Partners ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ความร่วมมือภายใต้กรอบ SCO ได้กลายเป็นทางเลือกสำหรับประเทศกำลังพัฒนา และเป็นพื้นที่ให้กับประเทศซีกโลกใต้ สร้างกลไกความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาร่วมมือในหลายมิติ ในสถานการณ์ที่โลกถูกโหมซัดด้วยพลวัตและปัจจัยมากมายที่บั่นทอนความมั่นคงเช่นที่ได้เห็นกันในปัจจุบัน
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 30 กันยายน 2568