ทีมเศรษฐกิจรัฐบาลเร่งเครื่อง ดันส่งออกโตทะลุเป้า 6-7%
KEY POINTS :
* รัฐบาลเร่งเครื่องนโยบายเศรษฐกิจ “Quick Big Win” โดยตั้งเป้าผลักดันการส่งออกปี 2568 ให้เติบโตสูงถึง 6-7% ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายเดิม
* กระทรวงพาณิชย์เดินหน้า 7 มาตรการเร่งด่วนเพื่อหนุนการส่งออก เช่น การเร่งเจรจาการค้าเสรี (FTA) การบุกตลาดใหม่ และการผลักดันการส่งออกข้าว
* ภาคเอกชน (กกร.) แสดงความกังวลต่อค่าเงินบาทที่แข็งค่าซึ่งอาจกระทบต่อความสามารถในการแข่งขัน โดยยังคงประมาณการเติบโตไว้ที่ 2-3%
หลังนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายรัฐบาล่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 29-30 ก.ย.2568 หลังจากนั้นรัฐมนตรีเศรษฐกิจทยอยมอบนโยบายให้ข้าราชการในวันที่ 1 ต.ค.2568 เพื่อเร่งนโยบายเศรษฐกิจ “Quick Big Win” ในช่วง 4 เดือน เพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจไทยพ้นจากการติดหล่ม
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เป้าหมายหลักช่วง 4 เดือน รัฐบาลจะเร่งผลักดันรถยนต์เศรษฐกิจไทยพ้นจากหล่มและไม่ตกลงเหว เนื่องจากเศรษฐกิจไตรมาสที่ 4 คาดการณ์ว่าจะมีการชะลอตัวลงอย่างมากหรืออยู่ในภาวะตกท้องช้าง
ทั้งนี้ รัฐบาลจะเร่งนโยบาย “Quick Big Win” แบ่งเป็น 5 เสาหลักตามที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยเน้นกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นและสร้างผลกระทบระยะยาว
สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเสาหลักที่ 1 มุ่งเน้นการขับเคลื่อนเครื่องยนต์ด้านการบริโภคภาคเอกชน ซึ่งเป็นกลไกขับเคลื่อนขนาดใหญ่ที่ใกล้เคียงกับการส่งออก มาตรการนี้จะกระตุ้นการเติบโตของ GDP ได้ถึง 0.2-0.4% ในไตรมาสที่ 4
“มาตรการกระตุ้นการบริโภคที่จะผลักดันในช่วงปลายปีนี้ โดยรวมแล้วคาดว่าจะทำให้ GDP ในไตรมาส 4ขยายตัวได้มากกว่า 1%”
“พาณิชย์” ลุย Quick Big Win 7 เรื่อง :
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้มอบมอบนโยบายแก่ผู้บริหารระดับสูง พาณิชย์จังหวัดและทูตพาณิชย์ไทยในต่างประเทศ โดยกำหนดแนวทางการทำงานให้เกิดผลสัมฤทธิ์ระยะสั้นภายใต้แนวทาง “Quick Big Win” ที่เน้นความร่วมมือทุกฝ่าย โดยทำสั้นให้ได้ผลและกระจายตัวให้ทุกคนได้ประโยชน์ และมุ่งให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทางเศรษฐกิจโดยเร็วมี 7 เรื่องหลักที่จะเร่ง คือ
(1)การเจรจากับสหรัฐเพื่อเร่งสรุปความตกลงว่าด้วยภาษีตอบโต้ไทย-สหรัฐ (ART) ภายในเดือน ธ.ค.2568 ล่าสุดการเจรจาเกือบเสร็จหมดแล้ว เหลือเพียงปรับปรุงกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าเพื่อให้สินค้าจากไทยได้รับสิทธิเสียภาษีตอบโต้ 19%
(2)การค้าชายแดนไทย–กัมพูชา โดยจัดมหกรรมธงฟ้าลดค่าครองชีพ การสนับสนุนค่าขนส่งสินค้าฟรี 100 บาทต่อชิ้นร่วมกับไปรษณีย์ไทย การเพิ่มช่องทางการตลาดใหม่ทดแทน และการเร่งหาตลาดใหม่
(3)เดินหน้าเจรจาความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีไอ) และบุกตลาดใหม่ ปีนี้ตั้งเป้าหมายปิดการเจรจาเกาหลีใต้ ส่วนตลาดใหม่ เช่น ตะวันออกกลาง (ซาอุดีอาระเบีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์), แอฟริกาใต้, อินเดีย, เวียดนาม
(4)ดูแลค่าครองชีพ โดยจัดมหกรรมธงฟ้าลดค่าครองชีพ ร่วมมือโรงพยาบาลเอกชน 100 แห่งที่ลงนามบันทึกความเข้าใจกับกระทรวงพาณิชย์ ให้เปิดเผยราคายาก่อนชำระเงิน เพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกซื้อยานอกโรงพยาบาลจะลดค่าใช้จ่าย 32,400 ล้านบาทต่อปี
ดันส่งออกข้าวไทย 1 ล้านตัน
(5)รักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร โดยจัดทำมาตรการเชิงรุกก่อนผลผลิตจะออก ส่วนข้าวจะเร่งผลักดันการส่งออกให้ได้ 1 ล้านตันในระยะสั้นนี้ ทั้งการขายรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) กับจีน 500,000 ตัน เตรียมทำเอ็มโอยูกับสิงคโปร์ให้ซื้อข้าวไทย 100,000 ตัน เจรจาญี่ปุ่นคงโควตานำเข้าจากไทยไม่ต่ำกว่า 300,000 ตัน
(6)เสริมแกร่งเอสเอ็มอี และเพิ่มมูลค่าสินค้าไทย โดยสนับสนุนการเข้าถึงตลาดใหม่ พัฒนาศักยภาพด้วยเทคโนโลยี สนับสนุนสินเชื่อ
(7)ปรับกฎระเบียบและใช้เทคโนโลยี โดยเร่งปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อธุรกิจ นำ AI มาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลทางการค้า ขยายช่องทางขายสินค้าออนไลน์
คาดส่งออกปีนี้โต 6-7% สูงเป็นประวัติการณ์ :
นางศุภจี กล่าวว่า การทำงานทุกอย่างจะเน้นความโปร่งใสและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศและประชาชน แม้อายุรัฐบาลจะสั้น แต่กระทรวงพาณิชย์ยังคงอยู่ โดยอยู่มา 105 ปีแล้ว จะอยู่ไปอีกเป็น 100 ปี จะใช้เวลาที่มีทำตามเป้าหมาย Quick Big Win ให้ได้ภายใน 4 เดือนนี้ เพื่อวางรากฐานไว้
น.ส.สุนันทา กังวานกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า คาดการส่งออกสินค้าไทยปี2568จะขยายตัว6-7%เมื่อเทียบปี2567 จากเป้าหมายที่โต 2-3% คิดเป็นมูลค่ากว่า 12 ล้านล้านบาท จากปีก่อนที่ได้10 ล้านล้านบาทซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์
สำหรับการเร่งหาตลาดส่งออกใหม่ช่วง 4 เดือนจากนี้ เตรียมจัดคณะผู้แทนการค้าเดินทางไปเจรจาการค้ากับจีน เจาะลึกเป็นรายมณฑล เช่น ฉงชิ่ง รวมถึงเวียดนาม อินเดีย และจัดกิจกรรมจับคู่เจรจาธุรกิจ
รวมทั้งจะเชิญผู้นำเข้าผู้ซื้อจากสหรัฐยักษ์ใหญ่และเป็นหน้าใหม่มาเจรจาธุรกิจกับผู้ผลิตผู้ส่งออกรายใหญ่ของไทย เพื่อเพิ่มคำสั่งซื้อ และช่องทางการขายใหม่
กกร.กังวลบาทแข็งกระทบส่งออก :
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร. )ภายหลังการประชุม กกร. ว่า กกร. ยังคงประมาณการส่งออกในปีนี้เติบโตไว้ที่ 2–3%โดยมีปัจจัยกดดันสำคัญจากค่าเงินบาทที่แข็งค่ารุนแรงในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทยและการท่องเที่ยว
ทั้งนี้ ค่าเงินบาทยังแข็งค่าและมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ยังขาดข้อมูลเชิงลึกเพื่ออธิบายผลกระทบจากธุรกรรมทองคำและคริปโตเคอร์เรนซี รวมถึงการโอนเงินกลับประเทศของแรงงานต่างด้าวที่อยู่นอกระบบ ซึ่งทำให้ตัวเลขดุลการชำระเงินส่วนใหญ่ถูกจัดอยู่ในหมวด “Errors & Omissions” โดยไม่สามารถจำแนกได้ชัดเจน
กกร.จึงเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานร่วมกัน เชื่อมโยงข้อมูล เร่งแยกแยะและวิเคราะห์ผลกระทบของธุรกรรมเหล่านี้ต่อภาคเศรษฐกิจจริง (Real Sector)
พร้อมทั้งพิจารณามาตรการเชิงโครงสร้างเพื่อสร้างสมดุลในระยะยาว ที่ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่า อาทิ การจัดตั้งกองทุน Sovereign Wealth Fund เพื่อเป็นกลไกเพิ่มเติมตอบโจทย์กับกิจกรรมการเคลื่อนย้ายเงินทุน ไม่ยึดติดกับผลิตภัณฑ์เดิม รองรับและบริหารความผันผวนอย่างเป็นระบบ
ทั้งนี้ภาคเอกชนเห็นว่าหากสามารถดูแลเสถียรภาพและทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ตัวเลขการส่งออกปรับตัวสูงขึ้นได้ รวมถึงการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ดังนั้น กกร. จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และทบทวนประมาณการการส่งออกอีกครั้งในการประชุมเดือนหน้า
นอกจากนี้ไทยต้องเร่งยกระดับ Regional Value Content (RVC)เนื่องจากหากไม่สามารถรักษาระดับที่เหมาะสมได้ อาจกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดสหรัฐฯ และส่งผลต่อแรงงานราว 4 แสนคนที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้จำเป็นต้องเร่งพัฒนาการใช้วัตถุดิบในประเทศ และเสริมสร้างอุตสาหกรรมต้นน้ำให้แข็งแรง โดยมี RVC ที่เหมาะสมอยู่ที่ 40% ซึ่งจะเป็นเกณฑ์สำคัญที่ช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันได้อย่างมั่นคงในตลาดโลก
“หากดูแลเสถียรภาพ และทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ตัวเลขการส่งออกปรับตัวสูงขึ้นได้"
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 2 ตุลาคม 2568