ผอ. IMF สปีชกดดันจีนกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ย้ำภาษีทรัมป์ยังไม่ออกฤทธิ์เต็มที่
คริสตาลินา กอร์เกียวา (Kristalina Georgieva) ผู้อำนวยการ IMF กล่าวสุนทรพจน์ที่สถาบันมิลเคน (Milken Institute) โดยเตือนให้จีนเพิ่มการบริโภคภาคเอกชน พร้อมทั้งเตือนว่า ผลกระทบเต็มรูปแบบของมาตรการภาษีศุลกากรยังไม่ปรากฏ ขณะที่การใช้จ่ายที่ไม่สม่ำเสมอในช่วงวันหยุด Golden Week ส่งสัญญาณว่าผู้บริโภคระมัดระวัง
นิกเคอิ เอเชีย (Nikkei Asia) รายงานว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (The International Monetary Fund : IMF) กระตุ้นให้ประเทศจีนเพิ่มการบริโภคภาคเอกชน ท่ามกลางภาวะเงินออมภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น พร้อมทั้งเตือนว่า ผลกระทบเต็มรูปแบบของมาตรการภาษีศุลกากรยังไม่ปรากฏออกมา
วันที่ 8 ต.ค. คริสตาลินา กอร์เกียวา (Kristalina Georgieva) ผู้อำนวยการ IMF กล่าวสุนทรพจน์โหมโรง ที่สถาบันมิลเคน (Milken Institute) ก่อนการประชุมประจำปีของ IMF และธนาคารโลก (World Bank) ณ กรุงวอชิงตัน ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 13-18 ต.ค.ที่จะถึงนี้
กอร์เกียวากล่าวว่า การค้าโลกที่มีลักษณะเปิดว้างและเสรีกำลังได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง แม้ผลกระทบจากภาษีสหรัฐต่อการค้าจะลดลงจาก 23% ในเดือน เม.ย. มาอยู่ที่ 17.5% ในปัจจุบัน แต่อัตราดังกล่าวยังนับเป็นอัตราที่สูงมาก เมื่อเทียบกับช่วงก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐจะกลับเข้าสู่ทำเนียบขาวอีกครั้ง
เธออ้างถึงพื้นฐานทางนโยบายที่แข็งแกร่ง และความพยายามของบริษัทต่าง ๆ ในการเร่งนำเข้าสินค้าก่อนการขึ้นภาษี พร้อมกับการจัดระเบียบห่วงโซ่อุปทานใหม่ แม้โดยทั่วไปแล้วเศรษฐกิจโลกจะสามารถต้านทานภาวะวิกฤตได้หลายระลอก แต่ส่วนต่างกำไรที่ลดลงจากมาตรการภาษี อาจบีบให้ผู้ประกอบการค้าปลีกในสหรัฐจำนวนมากต้องผลักภาระต้นทุนไปยังผู้บริโภค ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ สร้างแรงกดดันต่อการดำเนินนโยบายการเงิน และ ฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ
“ผลกระทบอย่างเต็มรูปแบบยังไม่เผยโฉมออกมา” กอร์เกียวากล่าว
สำหรับประเทศจีน กอร์เกียวาระบุว่าอัตราการออมภาคเอกชนของจีนสูงเกินไปอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศถูกฉุดรั้งจากภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ตกต่ำและแรงกดดันจากภาวะเงินฝืด จีนจำเป็นต้องมีแพ็กเกจการคลังเชิงโครงสร้าง เพื่อกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชน เปลี่ยนผ่านไปสู่เติบโตรูปแบบใหม่ และฟื้นฟูภาวะเงินเฟ้อในระบบเศรษฐกิจ โดยแพ็กเกจดังกล่าวควรจะรวมถึงการเพิ่มงบประมาณด้านระบบสวัสดิการสังคม และการแก้ไขปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ พร้อมทั้งควรลดการใช้จ่ายในนโยบายอุตสาหกรรมลงอย่างมาก
ก่อนการเผยแพร่รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook) ของ IMF ในสัปดาห์หน้า เมื่อวันที่ 8 ต.ค. ที่ผ่านมา ธนาคารโลกปรับเพิ่มการคาดการณ์การเติบโตของจีน ปี 2025 เป็น 4.8% จากเดิมซึ่งอยู่ที่ 4% สอดคล้องกับการคาดการณ์โดยรวมของภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก (EAP) ซึ่งปรับขึ้นเป็น 4.8% จากเดิมอยู่ที่ 4.0% อย่างไรก็ดี ธนาคารโลกยังเตือนถึงการชะลอตัวลงในปี 2026 โดยมีสาเหตุมาจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจที่ซบเซาลง
การใช้จ่ายช่วงซูเปอร์โกลเด้นวีก :
คำเตือนของ IMF มีขึ้นในช่วงที่จีนเฉลิมฉลองวันชาติ ผ่านวันหยุดยาว “สัปดาห์ทองสุดพิเศษ” (Super Golden Week) ในระหว่างวันที่ 1-8 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เกิดกิจกรรมการเดินทางและการบริโภคที่หลากหลาย โดยข้อมูลเบื้องต้นจาก Citi ชี้ให้เห็นว่า ยอดขายของร้านค้าปลีกและร้านอาหารรายใหญ่เพิ่มขึ้น 3.3% ในช่วง 4 วันแรกของวันหยุดยาว จากทั้งหมด 8 วัน ใกล้เคียงกับอัตราการเติบโตของยอดค้าปลีกในเดือน ส.ค. ที่ 3.4% แต่ต่ำกว่าอัตรา 6.3% ซึ่งเป็นยอดค้าปลีกในช่วงวันหยุดยาว 5 วันเนื่องในวันแรงงาน (เดือน พ.ค.) อย่างชัดเจน
ยอดขายผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฮมเพิ่มขึ้น 16.8% โดยได้รับแรงหนุนจากมาตรการเงินอุดหนุน จากการนำสินค้าเก่ามาแลกซื้อใหม่ (trade-in subsidies)
แอปพลิเคชั่นมือถือ WeChat ของจีนชี้ให้เห็นว่า คำค้นหายอดนิยม คือไพ่นกกระจอก การเดินป่า หม้อไฟ และคอนเสิร์ต เป็นการเน้นย้ำถึงความนิยมของนักท่องเที่ยว ในด้านประสบการณ์และการรับประทานอาหาร นอกจากนี้ การใช้จ่ายข้ามพรมแดนผ่าน WeChat Pay ยังเพิ่มขึ้น 21% ในช่วง 5 วันแรกของวันหยุดยาว โดยมีจุดหมายปลายทางคือ มาเลเซีย สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และไทย
อย่างไรก็ดี โนมูระ (Nomura) กลุ่มธุรกิจบริการทางการเงินระดับโลกสัญชาติญี่ปุ่น ระบุว่าการเดินทางทั้งในและต่างประเทศยังทำผลงานได้ต่ำกว่าช่วงวันหยุดยาววันแรงงาน อีกทั้งรายได้จากบ็อกซ์ออฟฟิศ (Box Office) ของโรงภาพยนตร์ก็ต่ำกว่าปี 2024
“ตลาดหุ้นจีนดูเหมือนจะทำผลงานได้ดีในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา แต่คาดว่า ผลกระทบด้านความมั่งคั่งจะยังคงจำกัด และการบริโภคจะยังคงซบเซาต่อไปในช่วงที่เหลือของปีนี้” โนมูระกล่าว
กอร์เกียวาระบุว่า ทุกประเทศเศรษฐกิจกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอย่างลึกซึ้ง ครอบคลุมตั้งแต่ประเด็นทางภูมิรัฐศาสตร์และประชากรศาสตร์ ไปจนถึงเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม โดยผลลัพธ์คือ ความไม่แน่นอนที่สูงเป็นพิเศษ ซึ่งยังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและไต่ระดับต่อไปทั่วโลก
“เตรียมตัวให้พร้อม ความไม่แน่นอนคือเรื่องปกติใหม่ (new normal) และมันจะอยู่กับเราต่อไป” กอร์เกียวากล่าว
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 9 ตุลาคม 2568