จับตาเศรษฐกิจญี่ปุ่น ภายใต้ "ผู้นำหญิง" คนแรก
การเปลี่ยนแปลงผู้นำทางการเมืองของประเทศใดประเทศหนึ่ง ไม่แน่เสมอไปว่าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงนโยบายด้านการบริหารจัดการเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม เมื่อ “ซานาเอะ ทากาอิชิ” ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งภายในพรรคเสรีประชาธิปไตย (แอลดีพี) และมีแนวโน้มที่จะก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของญี่ปุ่น
หลายคนกลับเชื่อว่า นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่น อาจเปลี่ยนแปลงไปไม่มากก็น้อย รวมทั้งนโยบายทางด้านการเงิน ที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ
ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า การดำรงตำแหน่งของทากาอิชิ จะส่งผลให้นโยบายการขยายฐานเศรษฐกิจ ที่ริเริ่มไว้โดย ชินโซ อาเบะ อดีตนายกรัฐมนตรี จะกลับมามีบทบาทอีกครั้งและพัฒนารุดหน้ามากขึ้นกว่าเดิม ส่งผลให้โอกาสที่ธนาคารกลางของญี่ปุ่น (บีโอเจ)
ซึ่งเดิมกำหนดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในเดือนนี้ อาจเลี่ยงการปรับขึ้นดังกล่าว เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางของรัฐบาลใหม่ แม้ว่าการตัดสินใจดังกล่าวอาจเป็นเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น โดยเฉพาะหากการเลี่ยงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลกระทบต่อค่าเงินเยนให้อ่อนค่าลงมากยิ่งขึ้น
“ซานาเอะ ทากาอิชิ” ได้ชื่อว่า เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเพียงรายเดียวที่สนับสนุนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวผ่านการใช้จ่ายของภาครัฐ และนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย เธอได้รับการคาดหมายว่าจะได้รับคะแนนเสียงจากที่ประชุมรัฐสภา ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สืบต่อจาก ชิเกรุ อิชิบะ
เนื่องจากพรรคแอลดีพี เป็นพรรคใหญ่ที่สุดในสภาในเวลานี้ แม้ว่าจะไม่แน่นอนถึงขนาด 100% ก็ตาม หลังจากที่รัฐบาลผสมหลายพรรคที่นำโดยแอลดีพี สูญเสียเสียงข้างมากไปในการเลือกตั้งของทั้งสองสภาก่อนหน้านี้
ในทันทีที่ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง หัวหน้าพรรคแอลดีพี ทากาอิชิ ยืนกรานอย่างชัดเจนว่า รัฐบาลของตนจะเป็นผู้นำในการกำหนดนโยบายทั้งทางด้านการคลังและการเงิน และตัวเธอเองก็ให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกกับการกระตุ้นให้อุปสงค์ในประเทศขยายตัวไปพร้อม ๆ กับการขยายตัวของเศรษฐกิจโดยรวม ว่าที่ผู้นำคนใหม่ของญี่ปุ่นอธิบายว่า การที่ราคาสินค้าในญี่ปุ่นขยับตัวสูงขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ เกิดขึ้นเนื่องจากต้นทุนที่เป็นราคาวัตถุดิบแพงขึ้นเท่านั้นเอง
และเตือนด้วยว่า ญี่ปุ่นไม่ควรรีบเร่งประกาศชัยชนะเหนือภาวะเงินฝืดเร็วเกินไป ในขณะบรรดาบริษัทธุรกิจทั้งหลายกำลังเผชิญกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากนโยบายภาษีของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา
ทากาอิชิระบุว่า จะเป็นการดีที่สุดถ้าหากญี่ปุ่นบรรลุถึงสภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นจากการที่ความต้องการภายในประเทศเพิ่มสูงขึ้น ไม่ใช่จากต้นทุนเพิ่มขึ้น เพราะในภาวะเงินเฟ้อดังกล่าว ค่าจ้างจะถีบตัวสูงขึ้นและผลักดันให้ความต้องการบริโภคของคนญี่ปุ่นพุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งจะส่งผลกระทบให้ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น และทำให้บริษัทธุรกิจได้กำไรมากขึ้นเช่นเดียวกัน
คาซูทากะ มาเอดะ นักเศรษฐศาสตร์ประจำสถาบันวิจัย เมจิ ยาสุดะ ระบุว่า ทากาอิชิ ไม่ใช่คนที่สนับสนุนการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะส่งผลให้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของบีโอเจ ที่คาดว่าจะมีขึ้นในวันที่ 30 ตุลาคมนี้ มีโอกาสเป็นไปได้น้อยลง
โดยบีโอเจอาจหันมาใช้วิธีการที่ระมัดระวังกว่าเดิม และดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไปมากยิ่งขึ้น และเป็นไปได้ที่การขยับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งต่อไปของญี่ปุ่น อาจถูกเตะถ่วงออกไปจนกระทั่งถึงต้นปีหน้า
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์อีกบางกลุ่มไม่แน่ใจว่า ทากาอิชิจะสามารถกดดันไม่ให้มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปได้นานนัก เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อในญี่ปุ่นในขณะนี้กำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่โตขึ้นมาเรื่อย ๆ ถึงขนาดส่งผลให้อดีตนายกรัฐมนตรีอิชิบะ พ่ายแพ้การเลือกตั้งอย่างหมดรูปเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
บีโอเจยุตินโยบายการเงินแบบผ่อนคลายและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่ใช้กันมาต่อเนื่องหลายทศวรรษลงเมื่อปีที่แล้ว โดยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็น 0.5% ในเดือนมกราคม เพราะเชื่อว่าอีกไม่ช้าไม่นานภาวะเงินเฟ้อของญี่ปุ่นจะบรรลุเป้า 2% ในระยะยาว
และก่อนที่ทากาอิชิจะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งภายในพรรค ตลาดพากันคาดการณ์ว่า บีโอเจจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีกครั้งในเดือนนี้ เพราะอัตราเงินเฟ้อในประเทศพุ่งขึ้นสูงกว่าระดับเป้าหมายต่อเนื่องกันมา 3 ปีแล้ว
อย่างไรก็ตาม “คาซูโอะ อูเอดะ” ผู้ว่าการบีโอเจ กลับกล่าวเป็นนัยสวนทางกับตลาดด้วยการออกมาเตือนว่า กำลังเกิดความไม่แน่นอนในระดับโลกขึ้น ซึ่งอาจกลายเป็นปัจจัยลบทำให้บริษัทต่าง ๆ ไม่ยอมปรับขึ้นค่าจ้าง ทำให้มารี อิวาชิตะ นักยุทธศาสตร์อัตราดอกเบี้ยแห่งโนมูระ ซีเคียวริตี้ ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า จริง ๆ แล้ว อูเอดะไม่จำเป็นต้องรีบขึ้นอัตราดอกเบี้ยแต่อย่างใด
ชัยชนะของทากาอิชิ ยิ่งทำให้มีความเป็นไปได้ที่บีโอเจจะระงับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนตุลาคมออกไป หันมาใช้วิธีการรอดูสถานการณ์ไปก่อนแทน ในขณะที่อีกบางคนตั้งข้อสังเกตว่า การสร้างสายสัมพันธ์อันดีและไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างรัฐบาลกับบีโอเจ นับเป็นสิ่งจำเป็นที่อูเอดะต้องทำ แต่ก็ต้องอาศัยเวลาสักระยะหนึ่งด้วยเช่นกัน
ผู้สันทัดกรณีบางคนชี้ว่า ทากาอิชิ มีจุดยืนที่แน่วแน่และมั่นคงในทางเศรษฐกิจในแนวเดียวกับอดีตนายกรัฐมนตรีอาเบะ ต่างกับทั้งอิชิบะ และ ฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีก่อนหน้านั้นที่ยินยอมให้บีโอเจขึ้นอัตราดอกเบี้ยและยกเลิกมาตรการกระตุ้นเมื่อเงินเฟ้อเร่งเร็วขึ้น โดยเฉพาะในสินค้าหมวดอาหารก่อให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นในญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม ความแน่วแน่ มั่นคงดังกล่าวใช่ว่าจะเป็นประโยชน์เสมอไป ในเมื่อสถานการณ์แวดล้อมทางเศรษฐกิจเปลี่ยนไปแล้ว
ตัวอย่างเช่น นักลงทุนบางคนเชื่อว่า ทากาอิชิอาจดันให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยน โดยคาดว่าจะอยู่สูงเกินกว่า 150 เยนต่อดอลลาร์ ซึ่งอาจกลายเป็นผลกระทบระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับสหรัฐอเมริกาที่เคยเตือนเรื่องการอ่อนค่าของเงินเยนมาแล้วก่อนหน้านี้
โทโมฮิสะ อิชิกาวะ หัวหน้าคณะนักเศรษฐศาสตร์ประจำ สถาบันวิจัยแห่งญี่ปุ่น เตือนว่าที่ผู้นำใหม่เอาไว้สั้น ๆ ว่า ทุกอย่างได้เปลี่ยนแปลงไปจากสมัยอาเบะไปจนหมดแล้ว
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 9 ตุลาคม 2568