ส่งออก Q4 ซบ ผวาลากยาวปีหน้า สายเรือแห่ลดราคาชิงลูกค้า สหรัฐขึ้นภาษีจีน 100% ทุบซ้ำค้าโลกทรุด
KEY POINTS :
* การส่งออกไทยในไตรมาส 4 มีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญและคาดว่าจะต่อเนื่องถึงปีหน้า จากผลกระทบของกำแพงภาษีสหรัฐฯ และการที่คู่ค้ามีสต็อกสินค้าจำนวนมาก
* อุปสงค์การขนส่งโลกที่ชะลอตัวลง ทำให้สายการเดินเรือแข่งขันกันลดราคาค่าระวางลงอย่างมากเพื่อดึงดูดลูกค้า ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนภาวะการค้าโลกที่ซบเซา
* การที่สหรัฐฯ อาจปรับขึ้นภาษีสินค้าจีน 100% จะยิ่งซ้ำเติมให้การค้าโลกและภาคการส่งออกของไทยชะลอตัวต่อเนื่องไปอีก
ภาคการส่งออกเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจไทย ช่วง 8 เดือนแรกปีนี้มีมูลค่าส่งออก 223,175 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือ 7.39 ล้านล้านบาท) ยังขยายตัวสูงถึง 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งผู้ส่งออกไทยทราบกันดีว่าตัวเลขการขยายตัวดังกล่าวมีปัจจัยสำคัญจากการเร่งส่งออกไปตลาดสหรัฐก่อนที่สหรัฐโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะมีการปรับขึ้นภาษี (Reciprocal Tariff) ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา
ขณะที่สถานการณ์ไตรมาสที่ 4 หรือโค้งสุดท้ายของปีนี้ทั้งภาครัฐและเอกชนต่างฟันธงการส่งออกของไทยจะชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ หลังสหรัฐปรับขึ้นกำแพงภาษีสินค้าไทยอีก 19% ทำให้สินค้ามีราคาสูงขึ้น เมื่อผนวกกับสินค้าที่คู่ค้าได้นำเข้าไปตุนสต็อกก่อนหน้านี้ยังมีจำนวนมาก ทำให้สินค้าไทยยิ่งขายยากขึ้น
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และนายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า คำสั่งซื้อสินค้าจากสหรัฐ และจากตลาดอื่น ๆ ที่เป็นคู่ค้าของไทยในไตรมาสที่ 4 รวมถึงการค้าโลกในภาพรวมมีแนวโน้มชะลอตัว สะท้อนได้จากเวลานี้การจองตู้คอนเทนเนอร์ และระวางเรือเบาบางลงไปมาก ขณะที่สายเดินเรือได้ปรับลดราคาลงอย่างฮวบฮาบ โดยตลอดเดือนกันยายนที่ผ่านมา อัตราค่าระวางเรือขนส่งสินค้าระหว่างเอเชีย-สหรัฐปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง
โดยเส้นทางจากเอเชียไปชายฝั่งตะวันตก (West Coast) ของสหรัฐร่วงลงกว่า 30% เหลือเฉลี่ยเพียง 1,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อตู้คอนเทนเนอร์ (ขนาด 40 ฟุต) จากระดับกว่า 2,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อตู้ก่อนหน้านี้ ขณะที่เส้นทางชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐก็ลดลงเช่นกันเหลือประมาณ 2,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อตู้
สายเรือลดราคา-ลดเที่ยววิ่ง :
ขณะที่รายงานจากผู้ให้บริการโลจิสติกส์ระบุว่า สายเรือหลายรายเริ่มแข่งขันด้านราคาหนักขึ้น บางรายเสนอค่าระวางต่ำสุดถึง 1,350 ดอลลาร์สหรัฐต่อตู้ เพื่อดึงปริมาณสินค้า ท่ามกลางภาวะอุปสงค์ขนส่งโลกที่ชะลอตัว ขณะเดียวกันผู้ประกอบการเดินเรือได้ประกาศลดเที่ยวเรือ (Blank Sailing) มากกว่า 17% ในเดือนตุลาคมนี้เพื่อไม่ให้ราคาร่วงต่อ ขณะที่บางสายเดินเรือคาดจะเริ่มปรับขึ้นหลังสิ้นสุดช่วงหยุดยาว Golden Week ของจีน
“แม้การลดลงของค่าระวางเรือจะช่วยลดต้นทุนการขนส่งในระยะสั้น แต่ในเชิงเศรษฐกิจถือเป็นสัญญาณเตือนของภาวะชะลอตัวของการค้าโลก จากตลาดสหรัฐและยุโรปซึ่งเป็นคู่ค้าหลักของไทยยังเผชิญอุปสงค์ที่อ่อนแรง ขณะที่ค่าเงินบาทแข็งค่า และต้นทุนพลังงานยังอยู่ในระดับสูง กดดันมาร์จิ้น หรือกำไรของผู้ส่งออก”
นายวิศิษฐ์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของการส่งออกสินค้าอาหารและอุตสาหกรรมเกษตร มีแนวโน้มชะลอตัว เห็นได้จากตัวเลข 8 เดือนแรกส่งออกได้มูลค่า 1.07 ล้านล้านบาท ลดลง -6.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยสินค้าที่ปรับตัวลดลง เช่น ข้าว ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ไก่แปรรูป และอาหารทะเลกระป๋อง ขณะที่ทั้งปี 2568 จากเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้เมื่อต้นปีจะส่งออกได้ 1.75 ล้านล้านบาท ขยายตัวที่ 6.8% หากทั้งปีนี้ทำได้เท่าปีที่ผ่านมา คือ 1.63 ล้านล้านบาท หรือไม่ติดลบก็น่าจะพอใจแล้ว
“สินค้าอาหารของไทยซึ่งเป็นกลุ่มที่ใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลัก ช่วงที่ผ่านมา ต้องเผชิญกับปัจจัยลบหลายประการ ทั้งเงินบาทแข็งค่ากระทบต่อความสามารถในการแข่งขันด้านราคา ขณะที่ราคาสินค้าโดยรวมลดลง จากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว กระทบกับกำลังซื้อของผู้บริโภคในตลาดหลัก ทั้งในสหรัฐ และยุโรป ตลาดจีนมีความเข้มงวดเรื่องกฎระเบียบในการนำเข้า ตลาดญี่ปุ่นหดตัวสูงจากเงินเยนอ่อนค่ามาก”
ข้าวลุ้นทั้งปี 8 ล้านตัน :
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ในช่วงไตรมาสสุดท้ายปีนี้ ส่วนตัวยังมองว่า ไทยน่าจะส่งออกข้าวได้เฉลี่ยเดือนละ 7 แสนตัน ซึ่งจะส่งผลให้ทั้งปีนี้ไทยจะส่งออกข้าวได้ประมาณ 8 ล้านตัน ซึ่งจะสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 7.5 ล้านตัน มีปัจจัยจากราคาข้าวไทยเวลานี้แข่งขันได้ โดยข้าวขาว 5% ของไทยเฉลี่ยที่ 330 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน
โดยราคาข้าวไทยเวลานี้ถูกกว่าข้าวขาวของอินเดียที่ขายอยู่ที่ 350 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เวียดนาม 360 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และปากีสถานที่ 340 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน โดยลูกค้าที่ซื้อข้าวไทยมากที่สุดช่วง 8 เดือนแรกคือ อิรัก นำเข้าแล้ว 6.7 แสนตัน รองลงมาคือสหรัฐ 5.4 แสนตันแอฟริกาใต้ 5.4 แสนตัน และจีน 4.6 แสนตัน
ส่งออกยางพาราคาดวูบ 25% :
นายหลักชัย กิตติพล นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมยางพาราไทย เผยว่า การส่งออกยางพาราไทยช่วง 8 เดือนแรกปีนี้ส่งออกได้ 1.78 ล้านตัน ลดลง -7.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีมูลค่าส่งออก 1.14 แสนล้านบาท ลดลง -29% มีปัจจัยหลักจากเงินบาทที่แข็งค่ามากในช่วงที่ผ่านมา กระทบต่อความสามารถในการแข่งขันส่งออก
ประกอบกับราคายางพาราส่งออกได้ลดลงต่ำลงในช่วงที่สหรัฐประกาศจะปรับขึ้นภาษีสินค้าจากทั่วโลกซึ่งรวมทั้งไทยในเดือนเมษายน ทำให้ราคายางพาราลดลงไปจากในเดือนมีนาคมประมาณ 30% ซึ่งเวลานี้ราคายางพาราค่อยๆ ฟื้นตัวและได้ปรับขึ้นมาแล้วประมาณ 20% หลังรับรู้ภาษีจากสหรัฐที่ 19% แต่ราคายังขึ้นไปไม่ถึงระดับเดิม
ในไตรมาสสุดท้ายปีนี้ คาดว่าการส่งออกยางพาราไทยจะปรับตัวดีขึ้น แต่ทั้งปีนี้คาดว่าในแง่ปริมาณจะปรับตัวลดลงจากปีที่แล้วประมาณ 10% และในแง่มูลค่าจะลดลงประมาณ 25% (จากปี 2567 ไทยส่งออกยางพารา 2.81 ล้านตัน มูลค่า 1.75 แสนล้านบาท) ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจและการค้าโลกที่ชะลอตัว
อิเล็กทรอนิกส์มั่นใจส่งออกโต 30% :
ด้าน ดร.สัมพันธ์ ศิลปนาฎ นายกสมาคมนายจ้างอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ คาดว่าการส่งออกสินค้าเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ของไทยปีนี้จะโตได้ถึง 30% (8 เดือนแรกส่งออก 45,691 ล้านดอลลาร์สหรัฐ +34%)
โดยเป็นการประเมินจากสูตรการส่งออกและจากการสอบถามสมาชิกรายใหญ่ๆ ในสมาคม ทั้งนี้ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เป็นสินค้าในการพัฒนาไฮเทคโนโลยี อยู่ในช่วงขาขึ้น และมีความเชื่อมโยงด้านซัพพลายเชนกันทั้งโลก ไม่ว่าจะขายไปที่สหรัฐ ที่จีน หรือตลาดอื่น ๆ
“สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยังเป็นคอมเมอร์เชียลมาก พวกไฮเอนด์ยังไม่ค่อยได้มาผลิตในไทยมาก แต่จะไปอยู่กับบางกลุ่ม เช่น TSMC ของไต้หวัน หรือญี่ปุ่น เกาหลี ทำให้สินค้าที่ผลิตในไทยไม่ได้ถูกบล็อกจากสหรัฐเพื่อขายให้จีน”
"โตโยต้า" ลุ้นส่งออก 3.3 แสนคัน :
ด้านตลาดรถยนต์ในประเทศปิดตัวเลข 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย. 68) ที่ 4.47 แสนคัน เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว คาดว่าทั้งปียอดขายเป็นไปตามเป้าหมาย 6 แสนคัน (ปี 2567 ทำได้ 5.7 แสนคัน) ด้านค่ายใหญ่โตโยต้า ทำได้ 1.67 แสนคัน สถานการณ์ทรงตัว อีซูซุ ร่วง 18% ส่วนหนึ่งเพราะตลาดปิกอัพยอดขายลดลงอย่างหนัก
นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดรถยนต์เดือนกันยายน 2568 ทรงตัว เนื่องจากผู้บริโภครอความชัดเจนของนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ อาจส่งผลให้ชะลอการซื้อ ขณะเดียวกันราคาน้ำมันที่ผันผวน และอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของสถาบันการเงิน ยังคงอยู่ในระดับสูง ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการใช้จ่าย
สำหรับโตโยต้า ยังสามารถรักษาระดับการผลิตเอาไว้ได้ ด้วยยอดปีนี้ 5.37 แสนคัน ทรงตัวเมื่อเทียบกับปี 2567 แบ่งเป็นการส่งออก 3.36 แสนคัน ลดลง 1%
ด้านนายฮายาโตะ เซกุจิ รองประธาน บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด เปิดเผยว่า ปีนี้ไทยฮอนด้าจะผลิตรถเพื่อทำตลาดในประเทศ 1.285 ล้านคัน ส่วนการผลิตเพื่อส่งออกวางเป้าหมายไว้ 2.55 แสนคัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่ทำได้ 2.14 แสนคัน โดยตลาดหลักยังอยู่ที่ยุโรป ญี่ปุ่น และอเมริกาเหนือ” นายเซกุจิ กล่าว
สรท. คาดส่งออกทั้งปีโต 5% :
นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า แนวโน้มการส่งออกสินค้าไทยในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ ในกลุ่มที่คาดจะขยายตัว ได้แก่ ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ไก่ กาแฟ ส่วนประกอบยานยนต์ ส่วนกลุ่มที่คาดจะหดตัว ได้แก่ เครื่องนุ่งห่ม ยานยนต์ อาหาร และยางพารา โดยคาดว่าไตรมาส 4 ของปีนี้ตัวเลขส่งออกจะทรงตัว หรืออาจติดลบ เนื่องจากฐานตัวเลขของปี 2567 สูง
“สรท. ยังเชื่อมั่นว่าการส่งออกทั้งปี 2568 จะเติบโต 5% ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตอย่างมากของการส่งออกในช่วงไตรมาส 1-2 ที่ผ่านมา ส่งผลให้แม้การส่งออกของไทยจะเริ่มชะลอตัวลงในไตรมาส 3-4 ยังทำให้ภาพรวมการส่งออกไทยตลอดทั้งปีนี้ยังมีการเติบโต”
สหรัฐฟาดภาษีจีน 100% ทุบซ้ำค้าโลก :
ขณะที่รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และอาเซียน กล่าวถึงกรณีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐประกาศจะเก็บภาษีสินค้าจีน 100% เริ่ม 1 พฤศจิกายน 2568 ว่า หากสหรัฐปรับขึ้นภาษีสินค้าจีน 100% จริง การค้าโลกปี 2568 จากที่องค์การการค้าโลก (WTO) คาดว่าจะขยายตัว 2.4% อาจลดเหลือเพียง 1.5- 1.9% ซึ่งจะส่งผลให้ส่งออกไทยและการค้าโลกมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องถึงปีหน้า
ส่วนผลกระทบต่อไทยจะเกิดใน 2 ด้าน คือการขาดดุลการค้าของไทยกับจีนจะรุนแรงขึ้น จากในปีที่ผ่านมาไทยขาดดุลจีนกว่า 1.6 ล้านล้านบาทหากจีนส่งออกมาไทยเพิ่มขึ้น 30% จากผลพวงที่สหรัฐเก็บภาษีจีน 100% คาดว่าไทยอาจจะขาดดุลการค้าจีนสูงถึง 2 ล้านล้านบาท
อย่างไรก็ดี หากสหรัฐขึ้นภาษีสินค้าจีน 100% สินค้าไทยจะมีทั้งได้และเสีย โดยกลุ่มที่อาจได้รับประโยชน์ส่งออกไปสหรัฐทดแทนสินค้าจีน ได้แก่ ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหารแปรรูป
ส่วนกลุ่มสินค้าที่ได้รับผลกระทบในเชิงลบ ที่ไทยอาจส่งออกไปจีนได้ลดลง เนื่องจากจีนจะมีการนำเข้าเพื่อนำไปแปรรูปส่งออกไปสหรัฐได้น้อยลง ได้แก่ เคมีภัณฑ์ พลาสติก ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ยางพารา ชิ้นส่วนเครื่องจักรกล เป็นต้น
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 15 ตุลาคม 2568