IMF ชี้ "หนี้โลกพุ่ง-ฟองสบู่ AI" ซ้ำเติมการค้าซบเซา - GDP ไทยปี 68 ยังติดที่ 2.0%
KEY POINTS :
* IMF เตือน 2 ความเสี่ยงใหญ่ต่อเศรษฐกิจโลก ได้แก่ ภาวะหนี้สินทั่วโลกที่พุ่งสูง และความเสี่ยงจากฟองสบู่ AI ที่อาจกระทบเสถียรภาพการเงินในวงกว้าง
* ปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวซ้ำเติมสถานการณ์การค้าโลกที่ซบเซา ซึ่งเป็นผลจากมาตรการกีดกันทางการค้าและการเพิ่มขึ้นของภาษีศุลกากร
* IMF คงประมาณการเติบโตของ GDP ไทยในปี 2568 ไว้ที่ 2.0% สะท้อนความเปราะบางของเศรษฐกิจท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เผยแพร่รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกในเดือนตุลาคม 2568 โดยคงประมาณการการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของประเทศไทยสำหรับปีหน้าไว้ที่ 2.0% ถึงแม้ว่าตัวเลขนี้จะบ่งชี้ถึงความเปราะบางในเศรษฐกิจของเรา แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่าคือสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน พร้อมกับสัญญาณเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินในวงกว้าง โดยเฉพาะภัยคุกคามจาก "ฟองสบู่ AI" และ "หนี้ทั่วโลก" ที่กำลังเพิ่มสูงขึ้น
IMF ระบุว่ากระแสความนิยมในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ขณะนี้มีความคล้ายคลึงกับภาวะฟองสบู่ดอทคอมในช่วงปลายปี 1990 ความมองโลกในแง่ดีของตลาดต่อเทคโนโลยีใหม่กำลังทำให้มูลค่าหุ้นพุ่งสูงเกินจริง โดยเฉพาะในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยี ความเสี่ยงชัดเจนคือความคาดหวังผลกำไรที่สูงอาจไม่เป็นไปตามที่ตลาดคาดหวัง
ซึ่งเป็นสิ่งที่มักเกิดขึ้นเมื่อเทคโนโลยีใหม่ๆ ถูกนำมาใช้ในวงกว้าง หากเกิดขึ้นจริง อาจส่งผลให้ตลาดต้องปรับราคาครั้งใหญ่ ซึ่งจะกระทบต่อความมั่งคั่งและการบริโภคโดยรวม และยกระดับไปถึงตลาดการเงินในวงกว้าง การปรับฐานของราคาหุ้นเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วนี้อาจเป็นหนึ่งในสัญญาณที่บ่งชี้ว่าความตื่นตัวในการลงทุนใน AI และตลาดการเงินที่เกี่ยวข้องอาจถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
หนี้สินทั่วโลกกำลังเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ อีกหนึ่งประเด็นใหญ่ที่ IMF ชี้ให้เห็นคือ ความเครียดทางการเงินในหลายประเทศที่ต้องได้รับการจัดการอย่างจริงจัง เนื่องจากมีปัจจัยลบสามประการที่กำลังรวมตัวกัน ได้แก่ แนวโน้มการเติบโตที่ลดลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงสูงขึ้น และระดับหนี้ที่สูงมากขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ทำให้การแก้ไขปัญหาทางการคลังยากขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงให้กับประเทศต่างๆ ในการเผชิญกับภาวะช็อกจากภายนอก
รายงานยังระบุว่า นโยบายการคลังในหลายประเทศเศรษฐกิจใหญ่ ยังคงมีความผ่อนคลายเกินไป โดยเฉพาะในประเทศขนาดใหญ่ เช่น สหรัฐอเมริกา จีน และฝรั่งเศส คาดว่าอัตราส่วนหนี้ต่อ GDP จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญภายในปี 2568 ซึ่งภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นนี้อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ขัดขวางการใช้จ่ายสำคัญ และเพิ่มความเสี่ยงในด้านอัตราดอกเบี้ยและการรีไฟแนนซ์
การเติบโตในประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจนั้นก็มีความไม่แน่นอนเช่นกัน
สหรัฐอเมริกา:
คาดการณ์ GDP ที่ 2.0% ในปี 2568 และ 2.1% ในปี 2569 อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจสหรัฐฯ คาดว่าจะชะลอตัวลงเร็วกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ในปีที่แล้ว โดยเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ที่ 2.7% ในปี 2568 ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ นโยบายการย้ายถิ่นที่เข้มงวดขึ้นในสหรัฐฯ อาจทำให้ GDP ลดลงระหว่าง 0.3% ถึง 0.7% ต่อปี ทำให้ปัญหาด้านแรงงานยิ่งซับซ้อน
จีน:
คาดการณ์ GDP ที่ 4.8% ในปี 2568 และ 4.2% ในปี 2569 ขณะนี้นโยบายการคลังของจีนยังคงขยายตัวอย่างเหมาะสมเพื่อตอบสนองต่ออุปสงค์ภายในประเทศที่อ่อนแอ
อินเดีย:
คาดการณ์อัตราการเติบโตที่แข็งแกร่งที่ 6.6% ในปี 2568 และ 6.2% ในปี 2569 ซึ่งตัวเลขปี 2568 มีการปรับเพิ่มขึ้นจากผลการดำเนินงานที่ดีในไตรมาสแรก
นอกจากนี้ ความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้าและการเพิ่มขึ้นของภาษีศุลกากร กำลังส่งผลให้ความต้องการจากภายนอกถูกจำกัด โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่พึ่งพาการส่งออก ขณะเดียวกันประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่และกำลังพัฒนาในเอเชีย โดยเฉพาะกลุ่มอาเซียน 5 ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในสมาชิก มีแนวโน้มที่การเปลี่ยนแปลงการเติบโตทางเศรษฐกิจจะสัมพันธ์กับการปรับอัตราภาษีที่มีผลบังคับใช้
สำหรับ ประเทศไทย IMF คาดการณ์การเติบโตของ GDP ปี 2568 ที่ 2.0% และจะชะลอลงอีกเล็กน้อยในปี 2569 เหลือ 1.6% ด้านเสถียรภาพราคา ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อราคาผู้บริโภคในปี 2568 จะเฉลี่ยอยู่ที่ 0.2% และเพิ่มขึ้นเป็น 0.7% ในปี 2569 ข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยก็มีความน่าสนใจ โดยภาคสินค้าโภคภัณฑ์ของไทยมีขนาดใหญ่กว่าสวิตเซอร์แลนด์ถึง 6 เท่า แต่เมื่อปรับด้วยมูลค่าเครือข่าย (NAVAS) กลับใกล้เคียงกันมาก
โดยสรุป IMF ได้เตือนว่า แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะแสดงความยืดหยุ่นในช่วงที่ผ่านมา แต่สิ่งนี้เป็นผลมาจากปัจจัยชั่วคราวมากกว่าความแข็งแกร่งพื้นฐาน ความเสี่ยงที่สำคัญยังคงเอียงไปในทางลบ และสำหรับประเทศในตลาดเกิดใหม่และกำลังพัฒนา การจัดการกับความเปราะบางทางการคลังและการเสริมสร้างแนวทางนโยบายที่เข้มแข็งเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในการรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 15 ตุลาคม 2568