ยกร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมธุรกิจ Startup ครั้งแรก จัดเต็ม 55 มาตรา
KEY POINTS :
* คณะกรรมการกฤษฎีกาได้ยกร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมธุรกิจสตาร์ตอัปฉบับแรกของไทย ซึ่งมีเนื้อหาทั้งหมด 55 มาตรา
* กฎหมายนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ปัญหาและอุปสรรคทางกฎหมายเดิมที่ขัดขวางการเติบโตของสตาร์ตอัป และเพื่อสร้างระบบนิเวศที่เหมาะสม
* สาระสำคัญคือการกำหนดให้สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) เป็นหน่วยงานหลักแบบครบวงจร (one-stop service) ในการส่งเสริมและให้สิทธิประโยชน์แก่ธุรกิจสตาร์ตอัป
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ขณะนี้ คณะกรรมการพัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ดำเนินการยกร่างกฎหมายใหม่ คือ ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมธุรกิจสตาร์ตอัป (Startup) เพื่อส่งเสริมธุรกิจสตาร์ตอัปขึ้นเป็นการเฉพาะ รวมทั้งยังช่วยสร้างระบบนิเวศที่เหมาะสมแก่การประกอบธุรกิจสตาร์ตอัป ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อร่างกฎหมายฉับบนี้แล้ว
ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ระบุเหตุผลว่า ปัจจุบัน ธุรกิจสตาร์ตอัปเป็นธุรกิจที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และมีบทบาทสำคัญต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศในโลกยุคใหม่ ที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอน เนื่องจากสามารถสร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เป็นเครื่องมือในการช่วยแก้ปัญหาและอำนวยความสะดวกให้แก่คนจำนวนมาก
พร้อมทั้งสร้างมูลค่าให้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดแก่ผู้ก่อตั้งธุรกิจและนักลงทุน รวมทั้งยังมีส่วนช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยรวม
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันประเทศไทยยังมีระบบนิเวศที่ไม่เหมาะสมแก่การประกอบธุรกิจสตาร์ตอัป การประกอบธุรกิจสตาร์ตอัปในไทยยังประสบปัญหาและอุปสรรคหลายประการ
โดยเฉพาะข้อจำกัดทางกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) ว่าด้วยบริษัทจำกัด ที่ยังไม่รองรับให้บริษัทจำกัดสามารถออกหุ้นกู้ เสนอขายหุ้นแก่ประชาชน เสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ให้แก่บุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้ถือหุ้น หรือเป็นเจ้าของถือหุ้นของตนเองเพื่อการจัดสรรหุ้นให้แก่กรรมการหรือพนักงานของบริษัทหรือนักลงทุน
รวมถึงการแปลงหุ้นบุริมสิทธิให้เป็นหุ้นสามัญ ตลอดจนหักหนี้แทนการชำระค่าหุ้นได้ อันไม่สอดคล้องกับแนวทางการประกอบธุรกิจและการระดมทุนสมัยใหม่ อีกทั้งธุรกิจสตาร์ตอัปจำนวนมากยังประสบปัญหาการเข้าถึงแหล่งทุน การมีแรงงานผู้มีความสามารถหรือทักษะสูง การได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน การสร้างทักษะการเป็นผู้ประกอบการ และการเข้าถึงเครือข่ายความร่วมมือ
อีกทั้งยังขาดหน่วยงานภาครัฐที่เป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจสตาร์ตอัป ส่งผลทำให้ธุรกิจสตาร์ตอัปของไทยไม่สามารถเติบโตและแข่งขันในระดับนานาชาติได้
ด้วยเหตุนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา จึงแต่งตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาแนวทางการปรับปรุงหลักการเกี่ยวกับการกำกับดูแลและส่งเสริมธุรกิจ Startup และคณะอนุกรรมการฯ ได้ดำเนินการศึกษาและเห็นควรมีร่างกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมธุรกิจสตาร์ตอัปเป็นการเฉพาะ เพื่อขจัดปัญหาและอุปสรรคดังกล่าวและสร้างระบบนิเวศที่เหมาะสมกับการประกอบธุรกิจสตาร์ตอัป
โดยกำหนดให้สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NIA) เป็นหน่วยงานหลักในการให้บริการ ช่วยเหลือ ส่งเสริม และพัฒนาธุรกิจสตาร์ตอัป ในลักษณะเป็นหน่วยงานศูนย์กลางในการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจสตาร์ตอัป (one-stop service) เพื่อให้การส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจสตาร์ตอัปสอดคล้องเป็นระบบเดียวกัน
สำหรับสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมธุรกิจสตาร์ตอัป กำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมธุรกิจสตาร์ตอัปขึ้นเป็นการเฉพาะ โดยร่างพระราชบัญญัติฯ ประกอบด้วย 55 มาตรา เช่น
1. บทบัญญัติทั่วไป (วันใช้บังคับ, บทนิยาม, ผู้รักษาการ)
2. หมวด 1 การส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจสตาร์ตอัป
3. หมวด 2 ธุรกิจสตาร์ตอัปที่ได้รับสิทธิและประโยชน์
4.หมวด 3 สิทธิและประโยชน์ของบริษัทสตาร์ตอัป
5. หมวด 4 มาตรการปรับเป็นพินัย
6. บทเฉพาะกาล
โดยกำหนดบทเฉพาะกาลรองรับให้ธุรกิจสตาร์ตอัปที่จัดตั้งเป็นบริษัทจำกัดก่อนวันที่ ร่างพระราชบัญญัติฯ ใช้บังคับ และยังคงดำเนินกิจการอยู่ แม้จดทะเบียนจัดตั้งมาเกิน 10 ปี อาจยื่นคำรับรองเป็นบริษัทสตาร์ตอัปเพื่อขอรับสิทธิและประโยชน์ตามร่างพระราชบัญญัติฯ ได้
พร้อมทั้งกำหนดเฉพาะกาลเร่งรัดให้ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมธุรกิจสตาร์ตอัป ภายใน 60 วันนับแต่วันที่ร่างพระราชบัญญัติฯ ใช้บังคับ
อีกทั้งยังกำหนดบทเฉพาะกาลเร่งรัดให้คณะกรรมการส่งเสริมธุรกิจสตาร์ตอัป และคณะกรรมการกำกับตลาดทุนต้องออกประกาศเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 15 ตุลาคม 2568