นักวิชาการเตือน วิกฤตผู้สูงวัย ต้อง "ขยายอายุเกษียณ" ทั้งระบบ
นักวิชาการเตือน "วิกฤตผู้สูงวัย" การขยายอายุเกษียณ 65ปีต้องทำพร้อมกันทั้งระบบ ไม่ใช่แค่ข้าราชการ 1.75 ล้านคน เริ่มวันนี้ อีก20ปีถึงสำเร็จ
ผศ.ดร.ณัฏฐพัชร สโรบล อาจารย์ประจำภาควิชานโยบายสังคม การพัฒนาสังคมและการพัฒนาชุมชน สาขาเชี่ยวชาญสวัสดิการผู้สูงอายุ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษ ผ่านรายการ "ฐานทอล์ค" ของฐานเศรษฐกิจ เกี่ยวกับมุมมองเชิงลึกและวิเคราะห์แนวคิดของอนุทิน ชาญวีรกูลนายกรัฐมนตรี ที่มีแนวคิดขยายอายุเกษียณข้าราชการ โดยระบุว่า แม้จะเป็นความคิดที่ควรได้รับการสนับสนุน แต่การมุ่งเน้นเพียงกลุ่มข้าราชการ 1.75 ล้านคน อาจยังไม่ตอบโจทย์การแก้ไขสถานการณ์วิกฤตสังคมสูงวัยได้อย่างแท้จริง
วิกฤตสังคมสูงวัย :
ผศ.ดร.ณัฏฐพัชร ชี้ถึงสถานการณ์ปัจจุบันของประเทศไทยว่า เราเป็นสังคมผู้สูงอายุระดับสมบูรณ์ (Complete Age Society)แล้ว ซึ่งหมายถึงมีสัดส่วนประชากรสูงอายุถึง 20% ขณะที่หลายคนยังคงเข้าใจว่าเราอยู่ในระดับ Aging Society
สิ่งที่น่ากังวลคือ คนสูงอายุมีอายุเฉลี่ยสูงขึ้น และไทยติดอันดับต้นๆของโลกที่มีแนวโน้มว่าคนจะอายุยืนถึง 100 ปี นอกจากนี้ สังคมไทยยังเผชิญกับสถานการณ์สำคัญคือ ผู้สูงอายุอยู่ลำพังเยอะขึ้น และความต้องการการทำงานก็มากยิ่งขึ้นพอๆ กับการอยู่ลำพังที่เพิ่มขึ้น
อัตราเร่งของการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยจากเดิมที่เคยพยากรณ์ว่าไทยจะเข้าสู่ Super Age Society ใน 15 ปี แต่เนื่องจากจำนวนเด็กที่เกิดน้อย ทำให้คาดการณ์ว่าเราจะเข้าสู่ระดับSuper Age Societyภายใน 8 ปีข้างหน้า หรืออาจจะเร็วกว่านั้น ซึ่งหากไม่มีการเตรียมพร้อม จะเกิด "วิกฤตสังคมสูงวัย" ที่ทำให้คุณภาพชีวิตของประชากรสูงอายุ (30% ของประชากรในอนาคต) ยากลำบาก และจนลงมากยิ่งขึ้น
3 ประเด็น ขยายอายุเกษียณ :
ผศ. ดร.ณัฏฐพัชร ได้แบ่งประเด็นของการขยายอายุเกษียณออกเป็น 3 เรื่องหลักที่ต้องพิจารณาอย่างละเอียด
1.นิยามเกษียณ (Retirement Definition):
นิยามเกษียณเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ในอดีต (ก่อนยุคศตวรรษที่ 19) คนทำงานโดยไม่มีการเกษียณ ต่อมายุคเบบี้บูมเมอร์มองว่าการเกษียณคือ การหยุดพักและไปใช้ชีวิต แต่ในปัจจุบันหลายประเทศขยายอายุเกษียณเพราะมองว่าผู้สูงอายุอาจต้องทำงานต่อเพื่อพยุงเศรษฐกิจ และยืดอายุระบบบำนาญ
ขณะที่คนรุ่นใหม่มีนิยามที่หลากหลาย โดยบางกลุ่มต้องการเกษียณเร็วที่สุด เช่น เกษียณ 40 ปี ซึ่งหมายถึงการเกษียณทางการเงินและมีอิสระ นิยามที่แตกต่างกันนี้ทำให้เกิดความซับซ้อนในการกำหนดอายุเกษียณ
2. อายุเกษียณ (Retirement Age):
อายุเกษียณของไทยยังคงใช้มาเหมือนเดิมตั้งแต่ปี 2494
3. สิทธิประโยชน์หรือสวัสดิการหลังเกษียณ:
สาระสำคัญที่แท้จริงของการขยายอายุเกษียณไม่ได้อยู่ที่การขยายไปเท่าไหร่ แต่คือรัฐบาลจะออกแบบให้สามารถได้รับเงินบำนาญชราภาพที่อายุเท่าไหร่ เนื่องจากปัจจุบันเงินกองทุนบำนาญชราภาพสามารถรับได้ที่อายุ 55 ปี หากมีการขยับอายุเกษียณ แต่ไม่ได้แก้ไขอายุการรับเงินบำนาญ ก็อาจไม่ตอบโจทย์ของการขยายอายุเกษียณ
ขยายอายุเกษียณ ต้องทำทั้งประเทศ
การมุ่งเน้นไปที่ข้าราชการ 1.75 ล้านคน นั้นถือเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับจำนวนแรงงานทั้งหมดของประเทศประมาณ 40 ล้านคน โดยมีแรงงานในระบบ 18-19 ล้านคน และแรงงานนอกระบบ 20-21 ล้านคน ซึ่งผู้สูงอายุส่วนใหญ่มักอยู่ในกลุ่มแรงงานนอกระบบ
การนำร่องที่กลุ่มข้าราชการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้าราชการครู อาจช่วยจูงใจข้าราชการบางกลุ่มที่มีความจำเป็นด้านเศรษฐกิจ เช่น มีหนี้สิน หรือยังต้องดูแลบุตรที่เรียนไม่จบ เนื่องจากปัจจุบันคนแต่งงานอายุช้าลง แต่การขยายอายุเพียงอย่างเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาหนี้สินได้ทั้งหมด
ผศ.ดร.ณัฏฐพัชร ย้ำว่า การหาความสมดุลในเรื่องนี้ยากมาก และเป็นเหมือน "ไก่กับไข่" เนื่องจากรัฐบาลต้องคำนึงถึงภาระของเงินกองทุน เงินคงคลัง และหนี้สาธารณะ ขณะที่ฟากสวัสดิการก็ต้องมองเรื่องโอกาสและความเป็นธรรมของผู้สูงอายุ ดังนั้น การแก้ไขกฎหมายตัวเดียวจึงไม่ใช่คำตอบ งานนี้ต้องรวมสรรพกำลังของนักวิชาการด้านผู้สูงอายุทุกมิติเข้ามาทำงานร่วมกัน
ข้อเสนอแนะ รับวิกฤตสังคมสูงวัย
(1)การปรับปรุงสวัสดิการ ต้องผลักดันเรื่องเบี้ยยังชีพให้สูงขึ้น สำหรับแรงงานนอกระบบ
(2)การดูแลระยะยาว ต้องมีนโยบายการประกันการดูแลระยะยาว (Long-Term Care Insurance) เพราะระบบการดูแลระยะยาวของไทยยังไม่ได้เป็น insurance และเมื่อคนอายุยืนขึ้น ภาระในการดูแลผู้สูงอายุในช่วงอายุท้ายก็จะสูงขึ้น ทำให้เงินบำนาญชราภาพเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ
(3)การจัดการช่องว่างแรงงาน (Gap Management) ในปัจจุบัน ต้องมีการออกกฎหมายคุ้มครองการกีดกันทางอายุ(Age Discrimination) เพื่อให้เกิดการรับสมัครงานโดยไม่มีเงื่อนไขเรื่องอายุ
(4)รองรับอนาคตในอีก 10-20 ปีข้างหน้า คาดว่าประชากรแรงงานจะหดตัวลงมาก จาก 38 ล้านเหลือประมาณ 15 ล้านคน ช่องว่างคือ คนที่จะเข้าสู่ระบบงานและจ่ายเงินเข้ากองทุนจะน้อยลง ทำให้ระบบไม่สมดุล ดังนั้น ต้องมีการสร้างแรงจูงใจ ทั้งคนที่มีศักยภาพให้กลับมาทำงาน และคนรุ่นใหม่ให้เข้ามาทำงานในระบบมากขึ้น เพราะคนรุ่นใหม่อาจเลือกทำธุรกิจนอกระบบแทน
นอกจากนี้ การขยายอายุเกษียณออกไปก็จำเป็นต้องมีการลงทุน ด้านสวัสดิการในระหว่างที่ทำงานอยู่ เช่น การตรวจสุขภาพและการเทรนนิ่ง เพื่อสร้างบุคลากรให้มีคุณภาพ และสามารถทำงานต่อไปได้
ผศ. ดร.ณัฏฐพัชร ระบุว่า การวางนโยบายที่ซับซ้อนนี้ต้องใช้เวลาในการเตรียมตัว หลายประเทศใช้เวลานาน เช่น ญี่ปุ่นใช้เวลาถึง 31 ปี เพื่อขยับเป้าหมายอายุเกษียณไปที่ 70 ปี อเมริกา 39 ปี และสิงคโปร์ 11 ปี โดยประเทศไทยได้เริ่มนับหนึ่งในการขยับเรื่องนี้มาแล้วประมาณ 10 ปี ตั้งแต่สมัยรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์
ซึ่งหากวัดจากเป้าหมายระยะสั้นที่ 65 ปี ประเทศไทยอาจต้องใช้เวลาอีกประมาณ 20 ปี โดยในระหว่างทางนี้ นโยบายจะต้องถูกปรับปรุงและขยับไปทีละขั้น เพื่อเป็น "บทเรียนสำหรับประวัติศาสตร์" ที่จะนำไปสู่ทิศทางในอนาคต
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 15 ตุลาคม 2568