วิเคราะห์แผนพัฒนา 5 ปีจีน "ช่วยหรือฉุด" อุตสาหกรรมเทคโนโลยีไต้หวัน
เซาท์ไชนามอร์นิงวิเคราะห์แผนพัฒนา 5 ปีจีน อาจเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีไต้หวัน แต่ในทางกลับกัน ความท้าทายจากนโยบายสหรัฐก็เป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับเกาะแห่งเทคโนโลยี
เมื่อเดือนที่แล้ว คณะผู้บริหารชาวไต้หวันเข้าเยี่ยมชมรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ในโรงงานแห่งหนึ่งในจีนแผ่นดินใหญ่ เพื่อสำรวจความเป็นไปได้ในการร่วมธุรกิจกัน ซึ่งคณะผู้บริหารเหล่านั้นมาจากบริษัทใหญ่หลายแห่ง อาทิ เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ ที่เป็นซัพพลายผลิตชิ้นส่วนต่างๆ ให้กับแอปเปิ้ล และเทสลา และมีผู้บริหารจากธุรกิจขนาดเล็กอย่างวอยเอเจอร์ เทคโนโลยี ที่เป็นซัพพลายเออร์บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้า
เซาท์ไชนามอร์นิงโพสต์รายงานว่า ธุรกิจไต้หวันลงทุนในจีนแผ่นดินใหญ่มานานหลายสิบปี แต่การเยือนของคณะผู้บริหารไต้หวันล่าสุดแสดงให้เห็นถึงหนึ่งในแนวทางที่จะทำให้ความสัมพันธ์สองฝ่ายดีขึ้น และในปัจจุบันบริษัทหลายแห่งบนเกาะแห่งนี้เป็นซัพพลายจัดหาชิ้นส่วนและส่วนประกอบเฉพาะทางให้กับบริษัทชั้นนำในจีนแผ่นดินใหญ่ในภาคอุตสาหกรรมไฮเทค รวมถึงอุตสาหกรรมอีวี
รัฐบาลปักกิ่งใกล้ได้บทสรุปแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมระยะ 5 ปี ซึ่งคาดว่าจะเน้นให้ความสำคัญกับนวัตกรรมและตลาดภายในจีนแผ่นดินใหญ่ บริษัทหลายแห่งในไต้หวันจึงพยายามเตรียมตัวเองให้พร้อมรับประโยชน์จากแผนดังกล่าว
นักวิเคราะห์มองว่า แผนพัฒนา 5 ปีที่จะเริ่มมีผลในปี 2026 - 2030 มีจุดมุ่งหมายเพื่อกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่และไต้หวันมากขึ้นในหลายอุตสาหกรรม เช่น รถยนต์ไฟฟ้า และปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) และคาดว่าแผนดังกล่าวจะส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางสังคมและวัฒนธรรมยิ่งขึ้น ซึ่งปักกิ่งมองว่าเป็นการวางรากฐานไปสู่การรวมชาติอย่างสันติ
อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายมากมายที่ต้องก้าวข้ามไปให้ได้ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่สำคัญของเกาะแห่งนี้ เนื่องจากการควบคุมการส่งออกของสหรัฐ และความร่วมมือระหว่างไต้หวันกับสหรัฐทำให้ความร่วมมือกับจีนมีความซับซ้อนมากขึ้น
ไต้หวันมีความสำคัญทางเศรษฐกิจสำหรับจีน และการลงทุนของไต้หวันตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และการผลิต นำมาซึ่งเงินทุน โครงสร้างพื้นฐานห่วงโซ่อุปทาน และความเชี่ยวชาญ ที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกของจีนแผ่นดินใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว
แม็กซ์ โล ผู้อำนวยการบริหารของสมาคมการศึกษาเชิงกลยุทธ์ระหว่างประเทศไต้หวัน สถาบันคลังสมองในไทเป เตือนว่า แม้แผนพัฒนา 5 ปี ดูเหมือนเป็นการสนับสนุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจและสังคมข้ามช่องแคบ แต่ก็มีแนวโน้มว่า “สิทธิพิเศษที่เหนือกว่าประเทศอื่น” ที่เคยให้กับนักลงทุนไต้หวันจะไม่คงอยู่ตลอดไป
อย่างไรก็ตามไต้หวันยังคงมีธุรกิจที่มีรากฐานมั่นคงในจีนและสามารถแข่งขันกับธุรกิจในจีนได้
“พวกเขาไม่ได้อ่อนแอ และไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสิทธิพิเศษ” โล กล่าว
ผอ.โล ย้ำด้วยว่า เป็นการยากที่รัฐบาลไต้หวันจะกดดันให้ธุรกิจถอนตัวออกจากจีน เพราะบริษัทที่ยังอยู่ในจีนส่วนใหญ่กลายเป็นส่วนหนึ่งของท้องถิ่นได้อย่างลึกซึ้งมากกว่าคู่แข่งในจีนแผ่นดินใหญ่เสียอีก
ทั้งนี้ ร่างแผนพัฒนา 5 ปีอย่างเป็นทางการคาดว่าจะเปิดเผยหลังจากพรรคคอมมิวนิสต์ประชุมเต็มคณะครั้งที่ 4 ในปลายเดือน ต.ค. และแผนดังกล่าวจะได้รับอนุมัติในการประชุมสองสภาของจีนในเดือนมีนาคมปีหน้า
อย่างไรก็ตาม ผู้นำระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์ได้ส่งสัญญาณแล้วว่า มีแนวโน้มที่แผนพัฒนาจะมุ่งเน้นการพัฒนาความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ และเสริมสร้างขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมของจีน
ท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะสงครามการค้ากับสหรัฐ
“ตลาดผู้บริโภคของจีนจะเติบโตอย่างรวดเร็วในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ไม่มีบริษัทใดในโลกที่จะยอมสูญเสียการเข้าถึงตลาดขนาดมหึมานี้” นักวิเคราะห์เศรษฐกิจในกรุงปักกิ่งที่ไม่ขอเปิดเผยชื่อกล่าว
หวัง เจียนหมิน จาก Minnan Normal University ในฝูเจี้ยน กล่าวว่า ภาคอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะเอไอ เซมิคอนดักเตอร์ สุขภาพ และรถยนต์ไฟฟ้า เป็นอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเกิดความร่วมมือข้ามช่องแคบมากที่สุด
ตอนนี้จีนแผ่นดินใหญ่ครองสัดส่วนผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 70% ของอีวีที่ผลิตทั่วโลก โดยบีวายดีแซงเทสลาขึ้นเป็นผู้นำตลาดแล้ว ขณะที่จุดแข็งหลักของไต้หวันคือการผลิตชิ้นส่วนและฮาร์ดแวร์คุณภาพสูงให้กับบริษัทผลิตรถยนต์
คนที่ได้ประโยชน์จากจุดแข็งของจีนและไต้หวันมีหลายบริษัท อาทิ เฉิน หงชิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท Wieson Technologies บริษัทผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์หลายประเภท ซึ่งเป็นพาร์ตเนอร์บริษัทผลิตรถยนต์ในจีนแผ่นดินใหญ่ 15 แห่ง รวมถึงบีวายดีและตงเฟิงมอเตอร์ โดยรับผลิตตั้งแต่ระบบชาร์จโทรศัพท์ในรถไปจนถึงตัวจำกัดความเร็ว
“ไม่ว่าจะเป็นเอไอ ยานยนต์พลังงานใหม่ สุขภาพ หรือเทคโนโลยีชีวภาพ ธุรกิจไต้หวันจะค่อยๆ เปลี่ยนจากรูปแบบการส่งออกแบบดั้งเดิมไปสู่ความร่วมมือและการพัฒนาที่มากขึ้นภายในตลาดจีน” เฉินกล่าว และว่า ด้านเอไอ ไต้หวันมีข้อได้เปรียบด้านฮาร์ดแวร์ที่สามารถเสริมจุดแข็งในตลาดอัลกอริทึมและแอปพลิเคชันของจีนแผ่นดินใหญ่ได้
"การเชื่อมโยงทั้งสองฝ่ายจะสร้างโอกาสอันยิ่งใหญ่ในอีกห้าปีข้างหน้า” เฉิน ย้ำ
ขณะที่วูดดี้ ดูห์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีไต้หวันก็พยายามส่งเสริมความร่วมมือด้านรถยนต์ไฟฟ้าข้ามช่องแคบ และกล่าวในงานประชุมด้านเทคโนโลยีที่จัดขึ้นระหว่างคณะผู้บริหารไต้หวันเยือนจีนเมื่อเดือนก่อนว่า จีนและไต้หวันสามารถสร้างห่วงโซ่อุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ชั้นนำระดับโลกได้ ผ่านการผสมผสานระหว่างความเชี่ยวชาญของไต้หวันและขีดความสามารถในการผลิตของจีนแผ่นดินใหญ่
‘ธุรกิจไต้หวัน’ ติดหล่ม ‘สหรัฐ-จีน’ แข่งขันเดือด :
ธุรกิจไต้หวันบางรายพบว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในหล่มการแข่งขันระหว่างจีนและสหรัฐ โดยเฉพาะธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากภาษีทรัมป์ หรือเผชิญกับการแข่งขันที่ดุเดือดมากขึ้นจากบริษัทในจีนแผ่นดินใหญ่
หลิว เหมิงชุน นักวิจัยและผู้อำนวยการฝ่ายจีนแผ่นดินใหญ่ จากสถาบันวิจัยเศรษฐกิจจงหัวในไทเป กล่าวว่า แผนพัฒนา 5 ปี จะทิ้งให้ธุรกิจไต้หวันตกอยู่ในความเสี่ยงจากการแข่งขันที่ดุเดือดและนโยบายคุ้มครองทางการค้าของท้องถิ่น (local protectionism)
ข้อมูลทางการเผยให้เห็นว่าการลงทุนไต้หวันในจีนแผ่นดินใหญ่ลดลงอย่างรวดเร็ว ในปี 2567 สัดส่วนการลงทุนต่างประเทศของไต้หวันในจีนแผ่นดินใหญ่สูงกว่า 7% เล็กน้อย ขณะที่ในปี 2010 มีสัดส่วนลงทุนมากถึง 80%
ผู้บริหารบริษัทสิ่งทอรายใหญ่ของไต้หวันที่ไม่ขอเปิดเผยชื่อ กล่าวว่า รัฐบาลจีนไม่ส่งเสริมอุตสาหกรรมดั้งเดิม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานมากและปล่อยมลพิษสูง
"สำหรับไต้หวันแล้ว นี่คือความท้าทายในอนาคต หากพวกเขา(ธุรกิจไต้หวัน) ไม่เปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ขณะเดียวกันโรงงานในจีนแผ่นดินใหญ่ก็พัฒนาตามทันแล้วทั้งเทคโนโลยีและขีดความสามารถการผลิต จนทำให้โอกาสทำมาหากินของธุรกิจไต้หวันแคบลงไปอีก"
ผู้บริหารรายนี้ยังชี้ให้เห็นถึงผลกระทบของภาษีทรัมป์เนื่องจากโรงงานผลิตเสื้อผ้าจำนวนมากย้ายฐานการผลิตไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือบังกลาเทศแล้ว
ขณะที่นโยบายของสหรัฐ รวมถึงนโยบายจำกัดการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ไฮเทค ก็ส่งผลกระทบต่อนโยบายของปักกิ่งที่มีต่อไต้หวันเช่นกัน
นักวิเคราะห์จากจีนแผ่นดินใหญ่ ผู้มีความเชี่ยวชาญในประเด็นเศรษฐกิจข้ามช่องแคบ ซึ่งไม่ขอเปิดเผยชื่อ มองว่า มาตรการจำกัดด้านเทคโนโลยีของสหรัฐยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญที่จำกัดความสามารถของไต้หวันในการจัดส่งชิปเอไอไปยังจีนแผ่นดินใหญ่ และว่ายังคงเป็นความท้าทายในอีก 5 ปีข้างหน้า เพราะในขณะที่ไต้หวันหวังจะเป็นผู้นำในการผลิตชิปขั้นสูงล้ำสมัยสำหรับเอไอและคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง จีนแผ่นดินใหญ่ก็ขยายขีดความสามารถในการผลิตชิปแบบเก่าที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย
“การแข่งขันด้านเทคโนโลยีชิปเก่าระหว่างสองฝั่งช่องแคบจะดุเดือดมากขึ้น แต่โดยรวมแล้ว ทั้งสองฝ่ายยังคงช่วยเสริมซึ่งกันและกันและมีศักยภาพที่จะร่วมมือกันในด้านต่าง ๆ เช่น อุปกรณ์สำหรับเซิร์ฟเวอร์” นักวิเคราะห์กล่าว
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 16 ตุลาคม 2568