อย่าหวังแค่ "มาตรการกระตุ้น" ไทยต้อง "ปฏิรูปศก.ทั้งระบบ"
การประชุมนัดแรกของ คณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ภายใต้รัฐบาล "อนุทิน ชาญวีรกูล" เปิดฉากอย่างคึกคัก และความคาดหวังสูง เพราะนี่คือ "สัญญาณเริ่มต้น" ของการเดินหน้าฟื้นเศรษฐกิจไทยในช่วงสั้น 4 เดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ
คำหนึ่งที่เราเห็นบ่อยมาก จนแทบจะกลายเป็นสโลแกนของรัฐบาลชุดนี้ไปแล้วนั่นคือ “Quick Big Win” นโยบายแบบ ‘เห็นผลเร็วทันใจ’ เพื่อเรียกความเชื่อมั่น และฟื้นความหวังของประชาชน ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังซบเซาและความเชื่อมั่นที่เปราะบาง
มาตรการที่กระทรวงการคลังเตรียมเสนอ ครม. สัปดาห์หน้า รัฐบาลชุดนี้วางไว้เป็น “แพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่” โดยเฉพาะท่องเที่ยวที่เป็นหัวใจของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก และชุมชน ทั้งการให้สิทธิลดหย่อนภาษีเที่ยวเมืองรอง การเร่งเบิกจ่ายงบสัมมนาภาครัฐ และการให้สิทธิ์โรงแรมเมืองรองหักค่าใช้จ่ายปรับปรุง 2 เท่า มาตรการเหล่านี้ล้วนมีศักยภาพกระตุ้นการใช้จ่ายช่วงปลายปี และส่งแรงสะเทือนเชิงบวกต่อเศรษฐกิจในวงกว้างได้หาก “เดินเกมเร็ว” และ “ลงมือจริง” ตามที่ตั้งใจไว้
ในขณะเดียวกัน รัฐบาลต้องไม่ลืมว่าการ “กระตุ้นระยะสั้น” จะไม่มีความหมาย หากไม่เชื่อมโยงกับ “การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาว” เพื่อสร้างความยั่งยืนให้ประเทศ เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับโจทย์ซับซ้อน ทั้งโครงสร้างรายได้ที่กระจุกตัวในเมืองใหญ่ การลงทุนเอกชนที่ชะลอตัว และการผลิตที่ยังพึ่งแรงงานราคาถูก และเทคโนโลยีล้าหลัง การท่องเที่ยวที่พึ่งพาเมืองหลักและนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลัก ก็สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างไม่ต่างกัน
ดังนั้น มาตรการกระตุ้นวันนี้ ควรเป็นมากกว่าการ “อัดเงินชั่วคราว” แต่ต้องกลายเป็น “การปฏิรูปเชิงโครงสร้างผ่านการกระตุ้น” เช่น การใช้สิทธิ์ภาษีท่องเที่ยวเพื่อยกระดับเมืองรอง ให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจท้องถิ่นจริงๆ หรือการสนับสนุนให้โรงแรมและธุรกิจท่องเที่ยวลงทุนในพลังงานสะอาด เทคโนโลยีดิจิทัล และมาตรฐานสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับขีดความสามารถระยะยาว ไม่ใช่เพียงซ่อมแซมเพื่อรอรอบกระตุ้นถัดไป ท้ายที่สุด “Quick Big Win” ที่เป็นเป้าหมายสูงสุดของรัฐบาลนี้ ต้องเป็น “ชัยชนะที่ยั่งยืน” สะท้อนผ่านความสามารถประชาชนในการพึ่งพาตนเอง เศรษฐกิจท้องถิ่นที่เข้มแข็ง และระบบเศรษฐกิจที่ยืนอยู่บนรากฐานใหม่ที่มั่นคงและแข็งแรงกว่าเดิม
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 16 ตุลาคม 2568