คนรุ่นใหม่กับภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนไป
การดึงศักยภาพคนรุ่นใหม่ออกมา ต้องเริ่มจาก "การฟัง" ไม่ใช่ "การสั่ง"
ในโลกธุรกิจยุคปัจจุบัน องค์กรกำลังเผชิญการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ที่ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องของ “คน”
โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่อย่าง Gen Z และ Gen Alpha ที่กำลังหลั่งไหลเข้าสู่ตลาดแรงงานในช่วงเวลานี้
คนกลุ่มนี้ไม่เพียงเป็นแรงขับเคลื่อนใหม่ของเศรษฐกิจ แต่ยังเป็น “ตัวเร่งการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมองค์กร” ที่จะทำให้รูปแบบการบริหาร การทำงาน และการวัดผลสำเร็จของธุรกิจเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
สิ่งที่ทำให้คนรุ่นใหม่แตกต่างจากทุกยุคก่อนหน้า คือความเชื่อมโยงกับโลกผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล คน Gen Z และ Alpha ไม่ได้รู้จักเพียงเพื่อนร่วมงานในออฟฟิศ แต่มีเพื่อนในอีกซีกโลกจากโซเชียลมีเดีย จากการเล่นเกม ทำกิจกรรม หรือเรียนออนไลน์ร่วมกัน ทำให้โลกของเขากว้างกว่าคนรุ่นเก่ามาก
หากย้อนกลับไปสัก 20–30 ปีก่อน คนรุ่นพ่อรุ่นแม่มักตั้งเป้าชัดเจนว่า เรียนให้จบ หางานดีๆ ทำในบริษัทใหญ่ แล้วทำไปจนเกษียณ เพราะความมั่นคงคือคำตอบของทุกอย่าง การได้ทำงานในองค์กรที่มีชื่อเสียงถือเป็นเกียรติและความภาคภูมิใจ
แต่ในยุคนี้ แนวคิดดังกล่าวแทบไม่เหลืออยู่ในใจของคนรุ่นใหม่อีกต่อไป คนรุ่น Gen Z เติบโตมากับโลกที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เทคโนโลยีเข้ามาแทนที่สิ่งเดิมๆ ตลอดเวลา พวกเขาจึงมองการทำงานเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตเหมือนในอดีต
การดึงดูดคนรุ่นใหม่ให้เข้ามาร่วมงาน จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกองค์กรต้องคำนึงถึง โดยสิ่งสำคัญประการแรก คือ “Feel” หรือความรู้สึก เพราะคนรุ่นนี้ไม่ได้เลือกงานจากชื่อเสียงของบริษัท แต่เลือกจากความเข้ากันได้กับตัวตนของพวกเขา
พวกเขาอยากอยู่ในองค์กรที่ให้เกียรติความคิด ให้พื้นที่ในการเติบโต และไม่ตีกรอบการทำงานด้วยกฎระเบียบที่ล้าสมัย เพราะสำหรับพวกเขา “การทำงานที่ใช่” สำคัญกว่าเงินเดือนหรือชื่อเสียงของบริษัท
ประการที่สองคือ “Future” ที่หมายถึงอนาคต เพราะแทนที่จะมองว่าตัวเองทำอะไรให้บริษัทได้บ้าง แต่คนรุ่นใหม่จะมองว่าบริษัทมีโอกาสอะไรให้เขาได้ทำบ้าง เพราะเขาต้องการรู้ว่าการทำงานของเขานั้นจะสร้างโอกาสอะไรที่ส่งผลไปถึงอนาคตได้บ้าง นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ผู้นำยุคใหม่ต้องเข้าใจให้ลึกซึ้ง เพราะพนักงานยุคนี้ต้องการความสัมพันธ์แบบสองทางระหว่างคนกับองค์กร
ในอดีต ระบบการทำงานคือการทำตามสั่ง ผู้บริหารเป็นผู้ตัดสินใจ ส่วนลูกน้องคือผู้ปฏิบัติ แต่กับคนรุ่นใหม่ ระบบนี้ใช้ไม่ได้อีกต่อไป เพราะพวกเขาเติบโตมาในยุคที่เสียงของทุกคนถูกได้ยินผ่านโซเชียลมีเดีย ทุกคนมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นและตั้งคำถาม
ดังนั้น หากผู้นำยังคงสั่งการแบบเดิม ผลที่ตามมาคือแรงต้านโดยไม่รู้ตัว เพราะพนักงานรุ่นใหม่จะไม่ปฏิเสธตรงๆ แต่จะค่อยๆ ถอยห่างจากการมีส่วนร่วม ทั้งนี้คนรุ่นไม่กลัวการทำงานหนัก แต่กลัวการทำงานโดยไม่เข้าใจเหตุผลว่าทำไปเพื่ออะไร การเป็นหัวหน้าในยุคนี้จึงต้องเปลี่ยนบทบาทจากผู้สั่งมาเป็นผู้ชี้ทาง แทนที่จะพูดว่า “คุณต้องทำสิ่งนี้” อาจจะต้องเปลี่ยนเป็น “ทำสิ่งนี้เพราะมันจะช่วยให้คุณเก่งขึ้น”
และเมื่อเกิดข้อผิดพลาด พวกเขาไม่ต้องการการตำหนิ แต่ต้องการให้หัวหน้ามองว่าเป็นโอกาสในการเรียนรู้ร่วมกัน เพราะสำหรับคนรุ่นใหม่ ความผิดพลาดไม่ใช่สิ่งที่ต้องกลัว แต่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเติบโตและทุกคนควรรับผิดชอบร่วมกัน
องค์กรที่ต้องการดึงศักยภาพของคนรุ่นใหม่ออกมา จึงต้องเริ่มจากการฟังไม่ใช่การสั่งและต้องเข้าใจว่าแรงจูงใจของพวกเขาไม่ได้อยู่ที่ตัวเงินเพียงอย่างเดียว
เพราะสิ่งที่คนรุ่นใหม่ต้องการมากที่สุดคือความหมายของงาน พวกเขาอยากรู้ว่าสิ่งที่ทำมีคุณค่าต่อใคร และจะส่งผลดีอย่างไรต่ออนาคตของพวกเขาต่างหาก
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 14 ตุลาคม 2568