สงครามราคา EV ลามทั่วโลก
สงครามราคารถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) กำลังขยายจากจีนไปยังประเทศอื่น ๆ ผลจากดีมานด์ที่ลดลงเพราะรัฐบาลลดการอุดหนุนนั้น ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์อย่างเทสลาและนิสสันต้องลดราคาลงเพื่อชิงส่วนแบ่งทางการตลาด ล่าสุดเทสลาเปิดตัวรถยนต์ 2 รุ่นในสหรัฐ โดยมีราคาถูกกว่ารุ่นที่ถูกที่สุดประมาณ 10%
อย่าง Model Y รุ่นใหม่มีราคาเริ่มต้นที่ 1.3 ล้านบาท ถูกกว่ารุ่นที่ถูกที่สุดในปัจจุบันถึงราว 1.63 แสนบาท หลังจากรัฐบาลสหรัฐของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีแนวคิดต้านโลกร้อน ยกเลิกการลดหย่อนภาษีราว 245,000 บาท ส่งผลให้ Model Y และรุ่นอื่น ๆ แพงขึ้นประมาณ 20%
ขณะที่เทสลากำลังเร่งเปิดตัวรถยนต์ที่ราคาเอื้อมถึงได้เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียตลาดและลูกค้า
แต่จากปัจจัยที่จีนควบคุมการผลิตโลหะหายากอย่างเข้มงวดเพื่อให้ได้เปรียบในการเจรจาการค้ากับสหรัฐ แม้แต่เทสลาซึ่งเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ การหาแหล่งผลิตโหละอื่นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ความตึงเครียดทางการค้าที่ยืดเยื้อสร้างข้อจำกัดในการลดต้นทุนต่อเทสลา
เจเนอรัล มอเตอร์ส และฟอร์ด มอเตอร์ ทยอยลดราคารถอีวีลง โดย 2 บริษัทวางแผนเปิดตัวรุ่นราคาต่ำกว่า 9.8 แสนบาท
ฮุนได ลดราคาโมเดลรถใหม่ในสหรัฐลงถึง 20% จากรุ่นปัจจุบันเพื่อให้แข่งขันได้ในยุโรป อินเดีย และจีน
ในญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศที่มีอัตราการใช้รถยนต์ไฟฟ้าต่ำที่สุด ในบรรดาประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว นิสสันประกาศราคา “ลีฟ” รุ่นมาตรฐานที่ประมาณ 1.1 ล้านบาท ซึ่งถูกกว่าปัจจุบันประมาณ 12,000 บาท เป็นผลมาจากแรงกดดันด้านการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากบีวายดีและผู้ผลิตรถจีนรายอื่น ๆ ซึ่งใช้ราคาต่ำเพื่อเจาะตลาดญี่ปุ่น
ราคารถยนต์ไฟฟ้าที่ลดลงส่วนใหญ่เป็นผลมาจากความพยายามของผู้ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ในจีน ซึ่งขยายธุรกิจไปทั่วโลก โดย CATL ซัพพลายเออร์รายใหญ่ระดับโลกกำลังลงทุนในโรงงานผลิตแบตเตอรี่ร่วมกับสเตลแลนทิส ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติยุโรป
โกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจะเริ่มเร่งตัวขึ้นราวปี 2030 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 52% ในปี 2040 ด้าน ซันชิโร ฟูกาโอะ ผู้บริหารของสถาบันวิจัยอิโตชู กล่าวว่า ในระยะยาวราคารถยนต์ไฟฟ้าจะลดลงทั่วโลก ถือเป็นการเปลี่ยนเข้าเฟสสองที่รถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดจะกลายเป็นกระแสหลัก
ที่มา ประชาขาติธุรกิจ
วันที่ 16 ตุลาคม 2568