บีโอไอตั้งทีมทะลวงลงทุน3แสนล้าน ชงโซลาร์ชุมชนเข้า กพช. 22 ตุลา
รัฐบาลเดินหน้า Quick Big Win บอร์ดบีโอไอเร่งรัดลงทุน 3 แสนล้าน ตั้งอนุฯ 3 คณะทะลวงท่อปลดล็อก 70 โครงการใหญ่ ให้ลงทุนจริงภายใน 4 เดือน ขณะที่กระทรวงพลังงานชง “โซลาร์ชุมชน” เข้าบอร์ด กพช. 22 ต.ค.นี้ ไฟเขียวเอกชนสร้างโรงไฟฟ้าโซลาร์ขนาด 10 เมกะวัตต์ ขายให้ กฟภ. ช่วยให้ชุมชนใช้ไฟถูก ส่งให้มหาดไทยกำกับดูแล แจงราคาน้ำมันโลกลง แต่ผันผวน ขอรอดูก่อน
บีโอไอเดินหน้านโยบาย Quick Big Win เคาะมาตรการเร่งรัดการลงทุน ตั้งอนุกรรมการ 3 คณะ แก้ปัญหาไฟฟ้า พื้นที่อุตสาหกรรม วีซ่าและใบอนุญาตทำงาน เพื่อเร่งการลงทุนจริง คาด 4 เดือนปลดล็อกกว่า 70 โครงการใหญ่ รวมมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท พร้อมจัดตั้งกลไก “Thailand FastPass” สร้างช่องทางพิเศษในการขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจต่าง ๆ เพื่อเร่งรัดโครงการลงทุนสำคัญ ล่าสุดบอร์ดนัดแรกไฟเขียว 2 โครงการลงทุนมูลค่า 7,000 ล้านบาท
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ที่มีนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2568 มีมติเห็นชอบมาตรการเร่งรัดการลงทุน เพื่อสนับสนุนนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล โดยบีโอไอจะตั้งทีมพิเศษเพื่อติดตามและเร่งรัดการลงทุนของโครงการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ที่ได้รับอนุมัติในช่วงปี 2566-2567
แต่ยังติดปัญหาและอุปสรรคในการลงทุนจำนวนกว่า 70 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 3 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมดิจิทัล (ดาต้าเซ็นเตอร์) อิเล็กทรอนิกส์ กิจการผลิตพลังงานไฟฟ้า และกิจการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม พร้อมทั้งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาและอุปสรรค 3 ด้าน ได้แก่ ด้านไฟฟ้า ด้านการจัดหาพื้นที่สำหรับการลงทุน และด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญร่วมกันของนักลงทุนในทุกอุตสาหกรรม โดยมีเลขาธิการบีโอไอเป็นประธาน เพื่อทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปลดล็อกอุปสรรคเหล่านี้โดยเร็ว
นอกจากนี้ บีโอไอจะดำเนินการจัดทำระบบ Thailand FastPass เพื่อเป็นกลไกที่จะใช้ต่อเนื่องระยะยาวในการเร่งรัดโครงการลงทุนสำคัญ โดยจะวิเคราะห์เส้นทางการประกอบธุรกิจของอุตสาหกรรมเป้าหมาย และกำหนดขั้นตอนการอนุมัติ/อนุญาตที่มีผลต่อการเริ่มต้นธุรกิจ จากนั้นจะทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อทำข้อตกลงระดับการให้บริการ (SLA) เพื่อเป็นช่องทางพิเศษในการช่วยเร่งรัดโครงการลงทุนสำคัญให้ได้รับอนุญาตตามกรอบเวลาที่กำหนดใน SLA และสามารถเดินหน้าลงทุนจริงอย่างรวดเร็วที่สุด
ทั้งนี้ บอร์ดบีโอไอได้เห็นชอบหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกโครงการเข้าสู่ระบบ Thailand FastPass ซึ่งต้องเป็นโครงการที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนแล้ว เป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท อยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น เทคโนโลยีชีวภาพ ยานยนต์และชิ้นส่วน เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ ดิจิทัลและ AI เป็นต้น อีกทั้งเป็นโครงการที่สร้างประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยในระดับสูง เช่น การจ้างงานบุคลากรไทย การเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานในประเทศ และการยกระดับเทคโนโลยี
“มาตรการเร่งรัดการลงทุนจะเป็นกลไกสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะการสร้างกลไก Thailand FastPass ซึ่งจะเป็นอาวุธใหม่ในการดึงดูดการลงทุน และเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการเร่งรัดการลงทุนของโครงการขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีความสำคัญต่อประเทศ โดยจะช่วยแก้ปัญหา ลดขั้นตอน และระยะเวลา และเพิ่มความชัดเจนในกระบวนการอนุมัติและอนุญาตต่าง ๆ เพื่อผลักดันให้เกิดการลงทุนใหม่อย่างรวดเร็วและเห็นผลเป็นรูปธรรม ทั้งในด้านเม็ดเงินลงทุน การจ้างงาน และการยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมไทย เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืนตามนโยบายของรัฐบาล”
ดันโซลาร์ชุมชนเข้า กพช. 22 ต.ค.นี้ :
แหล่งข่าวระดับสูงกระทรวงพลังงานเปิดเผยว่า ในส่วนของมาตรการด้านพลังงานที่สนับสนุนนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล ได้แก่ โครงการโซลาร์ชุมชน เป้าหมายกำลังการผลิตรวม 1,500 เมกะวัตต์, หลักเกณฑ์การซื้อขายไฟฟ้าโดยตรง (Direct Power Purchase Agreement : Direct PPA) ซึ่งคาดว่าจะมีการเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในวันที่ 22 ตุลาคม 2568
สำหรับหลักเกณฑ์โซลาร์ชุมชนนั้น กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานจะเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างหารือวิธีการคัดเลือกชุมชน ว่าจะออกมาในรูปแบบไหน โดยหลักการคือ การเปิดให้เอกชนเสนอตัวก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ร่วมกับชุมชน กำหนดขนาดโครงการไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ต่อชุมชน แต่ในความเป็นจริงคงไม่ถึง 10 เมกะวัตต์ เพราะ Capacity สายส่งไฟฟ้าได้แค่ประมาณ 8 เมกะวัตต์ และต้องพิจารณา Load การใช้ไฟฟ้า รวมถึงซัพพลาย-ดีมานด์ของแต่ละพื้นที่ที่มีความแตกต่างกัน
โซลาร์ชุมชนให้มหาดไทยดูแล :
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า หลักการสำคัญของโครงการโซลาร์ชุมชน เป้าหมายกำลังการผลิต 1,500 เมกะวัตต์ ขนาดโครงการไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ต่อชุมชน เป็นการเปิดโอกาสให้ชุมชนร่วมลงทุนกับภาคเอกชน โดยมีเงื่อนไขการขายไฟในอัตราที่กำหนดไว้ คาดว่าจะต่ำกว่าอัตราเฉลี่ย 3 บาทต่อหน่วย ทำให้ประชาชนในพื้นที่สามารถใช้ไฟฟ้าได้ในราคาที่ถูกลง เมื่อภาคเอกชนดำเนินการผลิตไฟฟ้าและมีกำไรจากการขายไฟ ส่วนหนึ่งของผลประกอบการจะถูกจัดสรรกลับคืนสู่ชุมชน ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานได้ทำงานกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ซึ่งมีโครงข่ายจุดเชื่อมต่ออยู่ทั่วประเทศ เมื่อมีการประกาศรับซื้อไฟฟ้า กฟภ.จะเป็นผู้แจ้งพิกัดตำแหน่งที่สามารถเชื่อมต่อระบบไฟฟ้า ชุมชนก็จะได้รับค่าไฟที่ถูกลง
นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า โครงการโซลาร์ชุมชนมีลักษณะคล้ายกับโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนพื้นดิน สำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตร พ.ศ. 2560 หรือ “โครงการโซลาร์สหกรณ์” ที่เคยดำเนินการเมื่อราว 10 ปีก่อน โดยในครั้งนั้นเปิดให้เอกชนจับคู่กับสหกรณ์เพื่อผลิตไฟฟ้าในอัตรารับซื้อแบบ Feed-in Tariff (FiT) ที่ 4.12 บาทต่อหน่วย
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันกระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างการปรับปรุงแนวทางดำเนินโครงการ ปรับปรุงจากโครงการโซลาร์สหกรณ์ ทั้งกระบวนการคัดเลือกโครงการที่ให้ กพช.เข้ามามีส่วนร่วม รวมถึงการจัดระบบรับ-จ่ายเงิน และการกระจายผลประโยชน์ให้ชัดเจน โดยให้กระทรวงมหาดไทยเข้ามากำกับดูแล
กันกุลขอรู้ราคารับซื้อไฟก่อนลุย :
ด้านนางสาวนฤชล ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เราในฐานะภาคเอกชนที่เป็นผู้ดำเนินการ (Operator) มีบทบาทในการดูแลและให้ความช่วยเหลือชุมชนในพื้นที่ที่เข้าไปตั้งโรงไฟฟ้า ขณะนี้รอประกาศอัตรารับซื้อไฟฟ้าอย่างเป็นทางการออกมาก่อน จึงจะสามารถสรุปตัวเลขได้ ซึ่งอัตรานี้จะต้องต่ำกว่าอัตรารับซื้อไฟฟ้าปกติ
สำหรับการลงทุนในโครงการโซลาร์ฟาร์ม ปกติจะใช้งบฯลงทุนราว 1 ล้านเหรียญสหรัฐต่อกำลังการผลิต 1 เมกะวัตต์ ดังนั้น หากเป็นโครงการขนาด 5 เมกะวัตต์ จะมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 5 ล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ต้นทุนดังกล่าวอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามราคาของแผงโซลาร์ ซึ่งในขณะนี้ต้นทุนการผลิตและจัดหาแผงโซลาร์เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากรัฐบาลจีนได้ยกเลิกมาตรการ Subsidy Tax ปรับลดอัตราการคืนภาษีการส่งออก (Export Tax Rebate) สำหรับผลิตภัณฑ์โซลาร์ (Photovoltaic) จากเดิม 13% เหลือ 9%
น้ำมันลงแต่ราคาใน ปท.ยังไม่ลด :
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลดลงต่อเนื่องแตะระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือน โดยราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส (WTI) ปรับลดลง 0.43 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 58.27 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบเบรนต์ลดลง 0.48 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล อยู่ที่ระดับ 61.91 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยธนาคารแห่งอเมริกา (Bank of America : BofA) ประเมินว่า หากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนยังคงยืดเยื้อและรุนแรงขึ้น ราคาน้ำมันดิบเบรนต์อาจร่วงลงต่ำกว่า 50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
แหล่งข่าวกระทรวงพลังงานเปิดเผยว่า ภาพรวมราคาน้ำมันในตลาดโลกยังอยู่ในช่วงผันผวน แม้ระยะสั้นจะเห็นแนวโน้มขาลง แต่โดยเฉลี่ยยังอยู่ในระดับใกล้เคียงเดิม ซึ่งเราก็ได้ลดราคาน้ำมันไปแล้วตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม 2568 โดยคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้มีมติปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลลง 50 สตางค์ต่อลิตร พร้อมขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมันปรับลดราคาน้ำมันเบนซินทุกชนิดลงอีก 50 สตางค์ต่อลิตร ซึ่งการปรับลดดังกล่าวทำให้รายรับเข้ากองทุนน้ำมันจากน้ำมันดีเซลลดลงเหลือ 30.96 ล้านบาทต่อวัน จากเดิมที่ 61.06 ล้านบาทต่อวัน ส่วนรายรับจากน้ำมันเบนซินยังคงทรงตัวอยู่ที่ 93.80 ล้านบาทต่อวัน
“การลดราคาน้ำมันไม่ได้อยู่ใน 3 เสาหลักนโยบาย Quick Big Win แต่กองทุนน้ำมันพยายามรักษาระดับราคาไม่ให้กระทบกับค่าครองชีพของประชาชน พยายามตรึงไว้ก่อน เพราะในช่วงหน้าหนาว ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาน้ำมันมีแนวโน้มจะปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับกำลังการผลิตที่ลดลงจากสภาพอากาศและการปิดซ่อมบำรุงของโรงกลั่น ดังนั้น สิ่งที่เราทำได้คือตรึงไว้ก่อน”
ด้านสถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ล่าสุด ณ วันที่ 12 ตุลาคม 2568 มียอดสุทธิรวมติดลบที่ 5,604 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันเป็นบวก 26,230 ล้านบาท บัญชี LPG ติดลบหนักถึง 41,834 ล้านบาท เกิดจากการดำเนินนโยบายตรึงราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มไว้ที่ 413 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ทำให้ต้องใช้เงินกองทุนเข้าชดเชยส่วนต่างราคานำเข้า-ขายปลีกอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันกองทุนยังมีเงินไหลเข้าเฉลี่ย 189.31 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งหากสถานการณ์ราคาน้ำมันโลกไม่ผันผวนรุนแรงเพิ่มเติม คาดว่ากองทุนจะสามารถกลับมามีสถานะเป็นบวกได้ภายในปลายปี 2568 ส่วนหนี้เงินกู้ของกองทุนจากสถาบันการเงินจำนวนทั้งสิ้น 105,333 ล้านบาท ปัจจุบันเหลืออยู่ 32,638 ล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถทยอยชำระและปิดบัญชีได้ก่อนกำหนดภายในปี 2571
“ราคาน้ำมันดิบโลกจะอ่อนตัวลงในช่วงนี้ แต่ความผันผวนยังสูงมาก ต้องจับตาทั้งปัจจัยเศรษฐกิจ ภูมิรัฐศาสตร์ และทิศทางการผลิตของ OPEC หากสถานการณ์เริ่มนิ่งในระดับ 50-60 เหรียญต่อบาร์เรล มีความเป็นไปได้ที่จะพิจารณาปรับลดราคาขายปลีก” แหล่งข่าวกล่าว
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 20 ตุลาคม 2568