ส.อ.ท.ชง 7 ข้อลดพิษบาทแข็ง เร่งแบงก์ชาติแก้ปัญหาไม่ปล่อยสินเชื่อ
ผู้ว่าการ ธปท. "วิทัย รัตนากร" เยือน ส.อ.ท.หารือแนวทางส่งเสริมอุตสาหกรรม พร้อมดูแลเสถียรภาพการเงิน ชง 7 ข้อเสนอบรรเทาพิษบาทแข็ง-ผลกระทบภาษีทรัมป์-ช่วยเอสเอ็มอี ชี้บาทแข็งมาจากหลายปัจจัย อาจเกี่ยวข้องฟอกเงิน-ทองพุ่ง ต้องแก้ปัญหาแบบบูรณาการ ร่วมมือทั้ง ปปง. กรมศุลฯ พาณิชย์ “เกรียงไกร” วอนแก้ปัญหาปล่อยสินเชื่อให้เห็นผลภายใน 4 เดือนรัฐบาล
เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้มีการประชุมหารือความร่วมมือระหว่าง ส.อ.ท. และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยได้กำหนดประเด็นหารือแนวทางการส่งเสริมอุตสาหกรรมใน 3 ประเด็น ได้แก่ 1.มาตรการรับมือผลกระทบจากภาษีสหรัฐและสงครามการค้า 2.มาตรการส่งเสริมสภาพคล่องทางการเงินและแก้ปัญหาหนี้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี 3.ความกังวลต่อค่าเงินบาทที่แข็งค่า
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน ส.อ.ท.กล่าวภายหลังการประชุมร่วมกับนายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการ ธปท.ว่า เนื่องจากขณะนี้ค่าเงินบาทของไทยถือว่าอยู่ในระดับที่แข็งค่าต่อเนื่อง และแข็งค่าสูงกว่าภูมิภาคเมื่อเทียบกับคู่แข่ง เพราะค่าเงินบาทที่แข็งเกินไป คือความเสี่ยงต่อภาคส่งออกของไทย ประเทศพึ่งพาการส่งออก 60% ของ GDP และจากภาคท่องเที่ยว 10% ของ GDP แต่ทั้งสองอุตสาหกรรมโดนผลกระทบจากค่าเงินบาท ซึ่งคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ส่งสัญญาณเรื่องนี้มาตลอด เพราะประเทศต้องค้าขายกับต่างชาติ จึงต้องการให้ ธปท.หาจุดสมดุล ปรับค่าเงินบาทอย่าให้แข็งเกินไป
ชง 7 ข้อเสนอช่วยเหลืออุตฯ :
โดยการหารือได้เสนอ 7 ข้อ ดังนี้
1)สนับสนุนเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (FX) ให้ส่วนลดค่าธรรมเนียม และอบรมความรู้แก่ผู้ประกอบการ SMEs เพื่อช่วยรับมือค่าเงินบาทแข็งค่า
2)ใช้เครื่องมือทางการเงิน/การธนาคารกลาง-ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้น่าดึงดูดต่อการลงทุนภายใน ลดการไหลเข้าสู่ตลาดทุนอย่างไม่มีประสิทธิผล
3)ลดต้นทุนภาคธุรกิจ-ลดภาระต้นทุนไฟฟ้า พลังงาน และทบทวนโครงสร้างค่าไฟ ปรับลดวงเงินประกันการใช้ไฟฟ้าเหลือ 0.5 เท่าสําหรับผู้ชําระเงินตรงเวลา เพื่อเพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน
4)ส่งเสริมสินค้า Made in Thailand (MIT) ให้หน่วยงานภาครัฐจัดซื้อสินค้า MIT ไม่น้อยกว่า 15% ภายในปี 2569 ผ่านระบบ e-Bidding เพื่อกระตุ้นการหมุนเวียนเงินในประเทศ
5)เสริมมาตรการส่งออกเสริมศักยภาพ-สนับสนุน R&D, การเพิ่มมูลค่าสินค้า (Value-Added) ให้แข่งขันได้ แม้เงินบาทแข็ง
6)ประสานงานนโยบายระหว่างประเทศ-ในการเจรจาทางการค้า ลดภาษีตอบโต้ และใช้ข้อตกลงการค้าเสรีเพื่อขยายตลาด
7)สร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค-ดูแลงบประมาณให้ไม่ฟุ่มเฟือย ควบคุมหนี้สาธารณะ เพื่อให้สามารถมีพื้นที่ในการใช้มาตรการกระตุ้น หาก ธปท.สามารถดําเนินมาตรการผสมทั้งทางการเงิน การคลัง และส่งเสริมโครงสร้างเศรษฐกิจ จะช่วยบรรเทาผลกระทบจากเงินบาทแข็ง และปรับตัวให้ภาคส่งออกสามารถอยู่รอดได้ แม้ภาวะจะแข่งขันสูง
ธปท.รับปากดูแลปัญหาสินเชื่อ :
“การได้คุยกันวันนี้เป็นภาพของการทำงานร่วมกัน สร้างความเข้าใจ ลดช่องว่างการสื่อสาร ซึ่งทั้งสองหน่วยงานเราเห็นตรงกัน ว่าเศรษฐกิจโลกผันผวนต้องร่วมกันทำ แบงก์ชาติทำหน้าที่รักษาเสถียรภาพการเงิน ในส่วนของ ส.อ.ท.ก็ทำหน้าที่ขับเคลื่อนนโยบายอุตสาหกรรม เพื่อเดินหน้าต่อและปรับตัวสู้กับอนาคต ใช้นโยบาย 4GO (GO Digital & AI, GO Innovation, GO Global, GO Green)
นอกจากนี้ เราอยากให้แบงก์ชาติช่วยวางแผนทางการเงิน โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs เพื่อให้ทรานฟอร์ม เราเห็นภาพเดียวกัน คือปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ว่าจะเรื่องกฎหมายที่ล้าสมัย สังคมสูงวัย การศึกษา สิ่งเหล่านี้ไม่เอื้ออำนวยเศรษฐกิจ ส่วนเรื่องผล
กระทบจากสงครามการค้าจากทรัมป์ยังมีผลอยู่ ที่ยังต้องคุยเรื่อง RVC ทุกอย่างยังไม่นิ่ง หรือแม้แต่เรื่องการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งแบงก์ชาติรับปากในส่วนที่เป็นความรับผิดชอบของ ธปท. อย่างเรื่องการปล่อยสินเชื่อกับกลุ่มที่มีความเสี่ยง ซึ่งทำให้บางรายถูกตัดสินเชื่อแบบเหมารวม ซึ่งจุดนี้ ธปท.รับปากว่าจะดูแลให้ทันที เพียงแต่ขอให้ ส.อ.ท.ส่งรายละเอียดข้อมูล โดยจะมีกลไกดูแลพิจารณาเป็นราย ๆ ไป”
บาทแข็งเกี่ยวโยงหลายปัจจัย :
นายเกรียงไกรกล่าวว่า ส่วนกรณีค่าเงินบาทที่แข็งค่า สิ่งที่ ธปท.ต้องตรวจสอบ ก็ต้องดูว่ามีปัจจัยอื่นเกี่ยวโยงทำให้เงินบาทแข็งค่าด้วยหรือไม่ เช่น คริปโต การฟอกเงิน การซื้อขายทอง ซึ่งจะควบคุมดูแลอย่างไร ต้องให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือกัน ทั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กระทรวงพาณิชย์ กรมศุลกากร
โดยจะทำงานร่วมกับ ธปท. หากลไกมากำกับดูแล ซึ่งต้องยอมรับว่าค่าเงินบาทอิงกับทองคำค่อนข้างสูง ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2568 เมื่อราคาทองขึ้น เงินบาทก็แข็งค่าขึ้นไป 0.9% เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ต้องดูแล เช่นเดียวกับเรื่องคริปโตที่ยังไม่มีหน่วยงานควบคุมได้ ในขณะที่การฟอกเงินเช่นกัน ประเทศไทยกลายเป็นแหล่งฟอกเงิน มีธุรกิจสีเทาหาวิธีการทำให้เป็นสีขาว ดังนั้น ต้องมีระบบขึ้นมาดูแล ปัญหาต่าง ๆ แบงก์ชาติจะกลับไปดู
“แต่ก็มีข้อจำกัดบางข้อ อย่างกรณีไทยพึ่งพาสหรัฐ 18% ขณะที่เวียดนามพึ่งพาสหรัฐ 31% แต่ทำไมเวียดนามกล้าลดดอกเบี้ย เช่นเดียวกับมาเลเซีย อินโดนีเซีย ซึ่งแบงก์ชาติอธิบายว่า ด้วยโครงสร้างและแนวทางแต่ละประเทศต่างกัน เช่น เงินสำรองเงินตราต่างประเทศเราสูงกว่า เขาซื้อขายแล้วเก็บเป็นดอลลาร์ แต่ทั้งหมดจะนำไปสู่การแก้ปัญหา สำหรับค่าเงินบาท ถ้าอ่อนค่ามาอยู่ที่ 34-35 บาทต่อดอลลาร์จะช่วยได้มาก เป็นความหวังของผู้ส่งออก แต่ ธปท.ก็ไม่ได้รับปากตรงนี้ เพราะมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง และมันเหนือการควบคุมของ ธปท.”
ส.อ.ท.ขอเห็นผลใน 4 เดือน :
นายเกรียงไกรกล่าวว่า ธปท.รับทุกข้อเสนอ และขอให้ ส.อ.ท.หารือพูดคุยกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือหารือร่วมกันในนาม กกร. เพื่อให้แต่ละหน่วยงานเดินหน้าไปพร้อมกัน อีกทั้ง ธปท.ไม่ใช่หน่วยงานการเมืองที่ต้องออกมาพูดตลอด แต่ด้วยปัญหามีมากก็ต้องใช้เวลา แต่เรื่องไหนที่ทำได้ก็จะทำให้ เช่น เรื่องการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งจะดำเนินการให้ก่อน ค
าดว่าภายใน 4 เดือนของรัฐบาลนี้น่าจะได้เห็น พร้อมกันนี้ สอท.เสนอให้จัดตั้ง “กองทุนเอสเอ็มอีนวัตกรรมการเงิน” โดยเปิดโอกาสให้เอกชนร่วมลงทุน เพื่อให้ผู้ประกอบการที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อปกติ สามารถเข้ามาขอทุนสนับสนุนได้ เพราะด้วยภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ผู้ขายต้องขายแบบเครดิต แต่ผู้ซื้อต้องจ่ายเงินสด ทำให้ผู้ประกอบการขาดสภาพคล่อง การออกแบบระบบสินเชื่อแบบใหม่จึงเป็นเรื่องจำเป็น
ชะลอจัดชั้นหนี้เสียจากพิษทรัมป์ :
นายนาวา จันทนสุรคน รองประธาน ส.อ.ท.กล่าวถึงมาตรการรับมือผลกระทบจากภาษีสหรัฐ และสงครามการค้า ว่าสิ่งที่กลุ่มอุตสาหกรรมกังวล คือการใช้มาตรการภาษีของสหรัฐ ที่รายการสินค้ามีการบังคับใช้ที่ต่างกัน บางรายการบังคับใช้แล้ว
บางรายการอยู่ระหว่างไต่สวน อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบแล้ว ได้แก่ เหล็ก อะลูมิเนียม ยานยนต์ และชิ้นส่วนไม้อัด ไม้บาง และวัสดุแผ่น เฟอร์นิเจอร์ อุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาการนำเข้า ได้แก่ เหล็ก อะลูมิเนียม หล่อโลหะเครื่องจักรกลและระบบอัตโนมัติ ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
ดังนั้น อยากขอให้รัฐสนับสนุนข้อมูลให้กับผู้ประกอบการเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเตรียมความพร้อมของธุรกิจให้สามารถรองรับมาตรการทางการค้าของสหรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงผลักดันมาตรการทางการเงิน เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัว (Transformation) ของธุรกิจและปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) พร้อมกับหาตลาดใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยงทางการค้า
นอกจากนี้ ยังเสนอให้มีมาตรการบรรเทาผลกระทบในช่วงปรับตัวของผู้ประกอบการ เช่น การชะลอการจัดชั้นหนี้เป็นหนี้ที่มีปัญหา การปรับโครงสร้างสินเชื่อสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐ รวมถึงการออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถรองรับผลกระทบจากมาตรการของสหรัฐ และการเปิดตลาดใหม่ได้
โดยสินเชื่อพิเศษดังกล่าวจะมุ่งช่วยเหลือธุรกิจที่ได้รับผลกระทบให้สามารถปรับตัวทางธุรกิจและปรับ Supply Chain ให้สอดคล้องกับข้อกำหนดด้านมูลค่าเพิ่มในประเทศ (RVC) ของสหรัฐ รวมถึงสนับสนุนธุรกิจที่ต้องการเพิ่มศักยภาพในการผลิตเพื่อส่งออกไปยังตลาดใหม่แทนตลาดสหรัฐ
ธปท.ยันภารกิจหลัก 3 ด้าน
นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวว่า การมาพบปะกับ ส.อ.ท.เป็นที่แรกแบบฟูลทีม ธปท.ทำงานกับทุกหน่วยงานเพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างนโยบายการเงินและการคลัง และทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ธปท.จะทำงานร่วมกับภาคธุรกิจมากขึ้นอีก เพื่อให้เกิดการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ ภารกิจหลักของ ธปท. คือการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว ประกอบด้วย 3 ส่วนด้วยกันคือ
1) สร้างเสถียรภาพทางการเงิน โดยเฉพาะดูแลให้เงินเฟ้อในระยะปานกลางอยู่ในระดับต่ำและไม่ผันผวน รวมถึงไม่ให้เกิดภาวะเงินฝืด และให้เงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในระยะปานกลาง
2) สร้างเสถียรภาพทางระบบสถาบันทางการเงิน โดยสถาบันการเงินเข้มแข็ง มีความมั่นคง สามารถให้บริการลูกหนี้ ประชาชนและธุรกิจได้ต่อเนื่อง และดูแลไม่ให้เกิดจุดเปราะบางในระบบการเงิน และ
3) สร้างเสถียรภาพทางระบบการชำระเงิน ดูแลให้มีระบบมีประสิทธิภาพ ตอบสนองความต้องการของประชาชน ธุรกิจ และภาครัฐ ทั้งด้านความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และด้วยราคาที่สมเหตุผล
“วันนี้เราอยู่ในจุดที่เห็นปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจต่าง ๆ เหมือนกัน และเราจะหารือร่วมกัน เพื่อหาแนวทางป้องกัน และแก้ไขปัญหาให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตได้ในระดับที่เหมาะสม และเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินของประเทศดำรงอยู่ได้”
ที่มา ประชาติธุรกิจ
วันที่ 22 ตุลาคม 2568

