อาเซียน-จีน ลงนามยกระดับ FTA มุ่งเปิดตลาดการค้า "อนุทิน" เสนอ 3 แนวทางส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วน
	สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า อาเซียนและจีนได้ลงนามยกระดับความตกลงการค้าเสรี (FTA) ในห้วงการประชุมสุดยอดอาเซียน – จีน ครั้งที่ 28 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ครอบคลุมภาคส่วนต่างๆ เช่น เศรษฐกิจดิจิทัลและสีเขียว รวมถึงอุตสาหกรรมใหม่
	ก่อนหน้านี้ อาเซียนและจีนเริ่มการเจรจายกระดับความตกลงการค้าเสรีในช่วงเดือนพฤศจิกายนปี 2022 และการเจรจาเสร็จสิ้นในเดือนพฤษภาคมปีนี้หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐประกาศจัดเก็บภาษีศุลกากรต่างตอบแทนแก่ประเทศต่างๆ ทั่วโลก 
	จนในที่สุด อาเซียนและจีนได้ลงนามยกระดับความตกลงการค้าเสรีขึ้นเป็นระดับ 3.0 ในการประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม โดยฝ่ายไทยมีนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนาม ขณะที่นายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล และผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนเป็นสักขีพยาน
	อาเซียน ซึ่งขณะนี้มีสมาชิกเพิ่มเป็น 11 ชาติหลังประเทศติมอร์-เลสเตเข้าร่วมเป็นสมาชิกอาเซียนอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา ถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของจีน มีมูลค่าการค้าทวิภาคีรวมทั้งสิ้นสูงถึง 771,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อปี 2024 จีนผลักดันการมีส่วนร่วมกับอาเซียนมากขึ้นเพื่อต้านทานผลกระทบจากการถูกสหรัฐจัดเก็บภาษีศุลกากรในอัตราที่สูง
	รัฐมนตรีพาณิชย์ของจีนระบุในแถลงการณ์ว่า การยกระดับความตกลงการค้าเสรีสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทั้งสองฝ่ายที่จะสนับสนุนความเป็นพหุภาคีและการค้าเสรี การยกระดับความตกลงการค้าเสรีระหว่างอาเซียนและจีนในครั้งนี้จะช่วยให้ทั้งจีนและอาเซียนสามารถเข้าถึงตลาดด้านการเกษตร เศรษฐกิจดิจิทัล และเภสัชภัณฑ์ได้ง่ายยิ่งขึ้น
	ทั้งจีนและอาเซียนเป็นส่วนหนึ่งของความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ถือเป็นกลุ่มการค้าใหญ่ที่สุดในโลกเพราะมีประชากรคิดเป็น 1 ใน 3 ของโลก และคิดเป็น 30% ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของโลก โดยมาเลเซียจัดการประชุมสุดยอด RCEP ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม ถือเป็นการประชุมครั้งแรกในรอบ 5 ปี
	ผู้แทนของสหรัฐและจีนได้มีการหารือการค้าในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียนเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งได้ร่างข้อตกลงเพื่อให้ประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐและประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนตัดสินใจในการพบหารือกันที่จะมีขึ้นที่ประเทศเกาหลีใต้ ภายหลังจากที่ทรัมป์เสร็จสิ้นภารกิจการประชุมอาเซียนเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม จีนได้เดินหน้ากระชับความร่วมมือกับอาเซียนมากขึ้น โดยเน้นไปที่ความสำคัญของการเปิดการค้า
	นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่านายกรัฐมนตรีอนุทินยกย่องความสัมพันธ์อาเซียน – จีน ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา เป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญที่เสริมสร้างสันติภาพ เสถียรภาพ และความรุ่งเรืองให้กับภูมิภาค ไทยยินดีกับข้อเสนอของจีนในการกำหนดให้ปี 2569 เป็น “ปีแห่งอาเซียน – จีน เนื่องในโอกาสครบรอบ 5 ปีของความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์แบบรอบด้าน (Comprehensive Strategic Partnership: CSP)”
	นายกรัฐมนตรีอนุทินได้ขึ้นกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน โดยได้เสนอ 3 แนวทางสำคัญ เสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนระหว่างกัน ดังนี้ 
	(1)การส่งเสริมการบูรณาการทางเศรษฐกิจ ซึ่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของจีนสามารถสนับสนุนอาเซียนในการเสริมความแข็งแกร่งของห่วงโซ่อุปทาน สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ให้แก่ผู้ประกอบการ MSMEs และขับเคลื่อนการเติบโตสีเขียว การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และเกษตรอัจฉริยะ ไทยพร้อมสนับสนุนการดำเนินการตามความตกลงการค้าเสรีอาเซียน – จีน ฉบับปรับปรุง (ACFTA 3.0) และการใช้ประโยชน์จากความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ตลอดจนมีส่วนร่วมของเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อเสริมสร้างการค้าและการบูรณาการทางเศรษฐกิจในภูมิภาค
	(2)การรับมือกับความท้าทายด้านความมั่นคงข้ามพรมแดน โดยเฉพาะอาชญากรรมข้ามชาติ  อาชญากรรมทางออนไลน์ การค้ามนุษย์ และภัยคุกคามด้านสิ่งแวดล้อม เช่น หมอกควันข้ามพรมแดน โดยอาเซียนและจีนควรยกระดับความร่วมมือในการบังคับใช้กฎหมาย การแบ่งปันข้อมูล และการพัฒนาศักยภาพ เพื่อความปลอดภัยและสวัสดิภาพของประชาชนในภูมิภาค
	(3)การธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค ไทยมีจุดยืนที่ชัดเจนยึดมั่นในการเลือกเดินบนเส้นทางแห่งสันติภาพและการเจรจา ซึ่งไทยชื่นชมบทบาทของจีนในการส่งเสริมสันติภาพและการมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ในภูมิภาค
	นายกฯ ยังกล่าวถึงประเด็นเมียนมา ว่าไทยพร้อมสนับสนุนความพยายามเพื่อสร้างเงื่อนไขที่นำไปสู่การปรองดองอย่างแท้จริง และสันติภาพที่ยั่งยืน รวมถึงประเด็นทะเลจีนใต้ ความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ถือเป็นความกังวลร่วมของภูมิภาค โดยไทยสนับสนุนการเสริมสร้างความไว้วางใจ และการผลักดันการเจรจาจัดทำแนวปฏิบัติในทะเลจีนใต้ (Code of Conduct: COC) ที่มีผลในทางปฏิบัติ มีเนื้อหาสาระชัดเจน สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล (UNCLOS)
	นายอนุทินกล่าวช่วงท้ายว่า อาเซียนและจีน สามารถร่วมกันกำหนดอนาคตที่มีความเชื่อมโยงรอบด้าน มีเสถียรภาพ และสันติสุข เพื่อประโยชน์ของประชาชนในภูมิภาค และคนรุ่นต่อไป
	ที่มา มติชนออนไลน์
	วันที่ 28 ตุลาคม 2568 


 
							 
							 
							 
							