"ไทย" ต้องทันเกม "มหาอำนาจ"
การลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วย "ความร่วมมือเพื่อสร้างความหลากหลาย และความมั่นคงในห่วงโซ่อุปทาน แร่หายากทั่วโลก" ระหว่าง ไทย และสหรัฐ เมื่อวันที่ 26 ต.ค.ที่ผ่านมา
นับเป็นหมุดหมายสำคัญทำให้ไทยถูกจับตามองในเวทีภูมิรัฐศาสตร์โลกอีกครั้ง เพราะยุคที่ “แร่หายาก” กลายเป็นวัตถุดิบเชิงยุทธศาสตร์เป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ตั้งแต่สมาร์ตโฟน ดาต้าเซนเตอร์ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ไปจนถึงอุตสาหกรรมอาวุธยุทโธปกรณ์ การที่ไทยเข้ามาอยู่ในสมการนี้ จึงไม่ใช่แค่เรื่องการค้าการลงทุน แต่กลายเป็นการเดินหมากในกระดานมหาอำนาจที่ซับซ้อนและน่าติดตามอย่างยิ่ง
แม้ เอ็มโอยู ฉบับนี้จะยังไม่ใช่ข้อตกลงผูกพันทางกฎหมาย แต่การที่ “ทำเนียบขาว” ของสหรัฐเผยแพร่ข่าวสารอย่างเป็นทางการ แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยกำลังถูกวางบทบาทให้เป็น “พาร์ตเนอร์ด้านแร่หายาก” ในยุทธศาสตร์ลดการพึ่งพาจีนของสหรัฐ ซึ่งตามข้อมูล ระบุว่า ปัจจุบัน ‘จีน’ ครองสัดส่วนการผลิตและแปรรูปแร่หายากกว่า 70-80% ของโลก นั่นหมายความว่า การเคลื่อนไหวใดๆ ของไทยในเรื่องนี้ ย่อมถูกมองผ่านสายตาของทั้งสองขั้วอำนาจ สหรัฐและจีนอย่างไม่ต้องสงสัย
หากมองในมุมบวกมากๆ เอ็มโอยูฉบับนี้ อาจกลายเป็นโอกาส หรือจุดเริ่มต้นแห่งการ “ยกระดับอุตสาหกรรมแร่ในไทย” ไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมปลายน้ำ หากรัฐบาลไทย สามารถใช้เวทีนี้ดึงองค์ความรู้ เทคโนโลยี และเงินลงทุนจากสหรัฐมาสร้างฐานการผลิตในประเทศได้จริง ไทยอาจเป็นตัวละครสำคัญในระบบนิเวศของแร่หายากในภูมิภาคอินโดแปซิฟิกก็เป็นได้
อีกด้านหนึ่งก็มีความเสี่ยงที่มองข้ามไม่ได้ ตามความเห็นนักวิชาการอย่าง อาจารย์สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ ตั้งข้อสังเกตไว้แม้เอ็มโอยูฉบับนี้ ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย แต่หากระยะต่อไปสหรัฐเดินหน้าผลักดันให้มีสัญญาลักษณะผูกขาดว่า ไทยต้องขายแร่หายากให้กับสหรัฐเพียงประเทศเดียว เท่ากับประเทศไทยเปิดทางให้สหรัฐเข้ามาทำสัญญาผูกขาด ซึ่งจะกระทบให้มหาอำนาจอีกฝ่าย คือ จีนเกิดความไม่พอใจในเรื่องนี้ และอาจมีมาตรการตอบโต้ประเทศไทยได้เช่นกัน ... เรื่องนี้เราเห็นด้วยว่า รัฐบาลไทยต้องรอบคอบ และทันเกมของมหาอำนาจที่กำลังแย่งชิงความได้เปรียบในเวทีโลกด้วย
สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ “ความไม่แน่ชัดในข้อเท็จจริง” ว่าแท้จริงแล้วไทยมีศักยภาพด้านแร่หายากมากน้อยเพียงใด ข้อมูลจากกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ระบุว่า ไทยยังไม่มีเหมืองแร่หายากที่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์ การส่งออกที่ผ่านมาเป็นเพียงนำเข้าแร่ดิบมาแต่งแร่แล้วส่งต่อ ดังนั้น หากไทยยังไม่รู้ชัดว่ามีทรัพยากรในมือเพียงใด การเจรจากับมหาอำนาจที่มีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์สูง ย่อมเสี่ยงต่อการ “เสียเปรียบเชิงโครงสร้าง” ตั้งแต่ต้นทาง ดังนั้นรัฐบาลไทยต้องเดินเกมเรื่องนี้อย่างรอบคอบ นี่คือบททดสอบสำคัญของรัฐบาล “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” ในยุคที่ “แร่หายาก” กำลังกลายเป็นอาวุธใหม่ในสงครามเศรษฐกิจโลก
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 28 ตุลาคม 2568

